ก่อนที่เชื้อไวรัสโควิด-19 จะเริ่มระบาดไม่กี่สัปดาห์ ผมโชคดีเหลือเกินที่มีโอกาสได้ไปท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่น โดยที่ไม่รู้เลยว่าจะเป็นทริปสุดท้ายก่อนที่จะต้องพักยาวเพราะเชื้อโควิด-19 ตอนนี้ผมเริ่มคิดถึงการท่องเที่ยว คิดถึงประเทศญี่ปุ่น เลยอยากจะมาแชร์ประสบการ์ณการเดินทางครั้งนี้ ซึ่งผมก็ไปญี่ปุ่นมา 3 ครั้ง 3 ภูมิภาค 9 เมือง แต่ครั้งนี้จะมาเล่าถึงเมือง ๆ นึงที่ไม่ได้ตั้งใจจะไปเยือน แต่กลับเป็นเมืองที่ผมหลงรักอีกเมือง ๆ นึงไปในที่สุด "กุโจฮาจิมัง" อย่างที่เกริ่นไปตอนต้น เมืองนี้ผมไม่ได้ตั้งใจจะไปแต่แรก จริง ๆ ผมตั้งใจจะไปเมืองคานาซาว่า โดยผมจะใช้ โชริวโดบัสพาส เป็นพาสรถบัสสามารถนั่งไปยังจุดท่องเที่ยวสำคัญต่าง ๆ ได้ในภูมิภาคชูบุ โดยเริ่มต้นที่เมืองหลวงของภูมิภาคนี้ "นาโกย่า" เริ่มต้นโดยผมตื่นมาแต่เช้าตรู่พร้อมเพื่อนร่วมทริปอีก 2 คน แปรงฟันล้างหน้าแต่งตัว ขึ้นรถไฟจากสถานีที่ใกล้ที่พักไปที่สถานีนาโกย่า เดินดุ่ม ๆ ไปที่บัสเซนเตอร์ที่จะพาเราไปเมืองแห่งทองคำคานาซาว่า พอเดินเข้าไปหาเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่พยายามชี้ไปด้านบน เหมือนให้อ่านอะไรสักอย่าง เราก็รู้สึกแปลก ๆ พอเห็นตัวหนังสือสีแดงที่มีภาษาไทยที่ช่างชัดเจนเหลือเกินเขียนว่า "วันนี้ที่นั่งไปเมืองคานาซาว่าเต็มแล้ว" ผมเดินออกมาและเริ่มเครียดตามสเต๊ป งานเข้า! เพื่อนอีก 2 หน่อที่ไม่รู้ประสีประสาอะไรก็งง ๆ เราก็บอกว่าวันนี้ไม่มีรถไปเมืองคานาซาว่า ที่พักที่จองไว้ก็ต้องขอยกเลิกโดยที่เสียเงินฟรีไปอีก แต่ทำยังไงได้ เรามาเที่ยว ต้องได้เที่ยว! ผมเริ่มกวาดสายตาดูตารางรถบัสเพิ่มเติม ว่ามีที่ไหนที่สามารถไปได้บ้าง จนเห็นเมืองกุโจฮาจิมังที่สามารถไป-กลับนาโกย่าได้ ผมเลยตัดสินใจว่า ไปเมืองนี้แหละ! ผมเดินไปบอกเจ้าหน้าที่ว่าจะไปเมืองนี้ เจ้าหน้าที่ก็ยื่นตั๋วไป-กลับ 3 ที่ให้อย่างรวดเร็ว เมื่อรถออกผมก็ไม่แปลกใจเลยที่มีผู้โดยสารแค่ 4 คน อีก 1 คนที่เป็นเพื่อนร่วมทางกับเรา ไม่ตกรถที่จะไปเมืองอื่น ก็คงตั้งใจจะมาเมืองนี้จริง ๆ เมื่อถึงที่หมายก็ สิ่งที่ผมเห็นก็คือเมืองที่สงบเหลือเกิน ผู้คนที่เดินผ่านมาแทบจะนับคนได้เลยว่ามีกี่คน เมืองนี้ไม่ได้มีจุดท่องเที่ยวสำคัญอะไรเท่าไหร่ จะมีก็แต่ปราสาทกุโจซึ่งผมก็ไม่ได้ไปเพราะเดินไกลพอสมควร ผมเริ่มเดินท่องเมืองไปเรื่อย ๆ ภายในใจของผมเริ่มรู้สึกถึงความสงบที่สวยงาม เสียงน้ำจากคลองที่ไหลเชี่ยวไปทำให้รู้สึกถึงธรรมชาติที่มีชีวิต บ้านเมืองรอบ ๆ ที่มองแล้วรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก ถึงเวลาทานอาหารกลางวันแล้ว! พวกเราพยายามหาร้านอาหารที่ราคาพอจับต้องได้ แต่เมืองนี้หาร้านอาหารยากเย็นเหลือเกิน เราเดินหากันเป็นชั่วโมงเห็นจะได้ ในที่สุดก็เจอร้านนึง ที่มีเมนูไม่กี่เมนู ราคาน่ารัก เหมือนจะเป็นบะหมี่อะไรสักอย่าง ที่ไม่ใช่ราเมง รสชาติจืดไปหน่อยแต่พอประทังชีวิตได้ ที่นี่มีจุดถ่ายรูปสวย ๆ เยอะมาก บ้านเมืองบางส่วนจะติดหน้าผาริมคลอง มีปราสาทที่อยู่บนยอดเขาที่สามารถมองเห็นจากที่ไกล ๆ ได้ แต่ใครที่เน้นเรื่องกิน ผมว่าเมืองนี้ตัดไปได้เลย เพราะขนาดไปวันหยุด ร้านอาหารหรือผู้คนยังไม่ค่อยจะมี แต่ใครที่อยากสัมผัสความสงบแบบญี่ปุ่นแท้ ๆ เมืองนี้เป็นอีก 1 เมืองที่แนะนำ หากใครไปโซนเที่ยวภูมิภาคชูบุ หากมีวันเหลือ ๆ แวะมาเที่ยวเมืองนี้ก็ไม่เลวนะ.. คืนนี้เราไม่มีที่พักเป็นหลักเป็นแหล่ง จะไปนอนที่ไหนยังไม่รู้ เพื่อนผมคนนึงเสนอว่าไม่ต้องนอน! หาร้านอาหาร 24 ชั่วโมงนั่งรอจนถึงเช้าเลย แต่ผมเองคิดว่าน่าจะทรมานเกินไป ผมปิ๊งไอเดียหาที่ซุกหัวนอนที่ประหยัดได้อยู่ พวกเราเดินหาร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่แถวสถานียาบะโชว จนเจอร้านนึงที่น่าจะพอซุกหัวนอนได้ 1 คืน พนักงานคิดเรา 8 ชั่วโมง 8,500 เยน หาร 3 ก็น่าจะพอจ่ายไหวอยู่ เราจึงตกลงที่จะนอนเน็ตคาเฟ่ครั้งแรกในชีวิต และรีบหลับเพื่อให้ถึงวันรุ่งขึ้นโดยเร็วที่สุด.. ยังมีเรื่องราวในชีวิตและการเดินทางของผมอีกมากมายที่อยากจะเล่าให้คุณฟัง แล้วพบกันใหม่ในบทความต่อไปครับผม.. เรื่องและภาพโดย AomSowon