อรขอเล่าต่อจากบทความ "ผู้หญิงคนเดียวเที่ยวจีน 2024 วันที่ 2...เริ่ม!! (ทริปปักกิ่ง BEIJING - ฮาร์บิน HARBIN 9 วัน)" [อ่านบทความอื่นๆได้ด้านล่าง]วันที่ 3 ของการเดินทาง วันที่ 10 มกราคม 2567 วันนี้สถานที่สำคัญที่สุดที่เราจะไปกัน คือ พระราชวังต้องห้าม (The Forbidden City) โดยถูกสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1406 จนถึง ค.ศ. 1420 ใช้เวลาสร้างเป็นระยะเวลา 14 ปี โดยเป็นพระราชวังหลวงมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิงจนถึงราชวงศ์ชิง และพระราชวังต้องห้ามมีจำนวนห้องทั้งหมด 9,999 ห้อง และได้เปิดให้ประชาชนเข้าไปเยี่ยมชมในปี ค.ศ.1925 เป็นพิพิธภัณฑ์พระราชวัง หลังจากที่เปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง พระราชวังต้องห้าม ชื่อนี้ที่คุ้นหู มีชื่อเสียง พระราชวังต้องห้ามยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของโลกด้วย และในรูปสวยมากจนต้องไปเจอของจริงให้ได้ แต่แล้วไม่นานมานี้ทางประเทศจีนได้มีนโยบายจำกัดปริมาณนักท่องเที่ยว เพื่ออนุรักษ์สภาพของอาคารและสวนหย่อม เพราะเหตุนี้นี่เอง… ‘โธ่เอ่ย...ทำไม ทำไม’ คือคำถามที่อรต้องถามตัวเอง ณ ตอนนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีก เพื่อนก็ทักแล้วนะให้จองตั๋วเข้าพระราชวังต้องห้ามไว้ก่อน พออรเกริ่นประโยคนี้รู้ทันทีเลยใช่ไหมคะว่า อรไม่ได้เข้าไปค่ะ เพราะคิดว่าน่าจะมีตั๋วขายหน้าทางเข้า เลยไม่ได้ซื้อตั๋วล่วงหน้าไว้ก่อน และลองหาจองออนไลน์หน้าประตูแล้วก็ไม่มีว่างเลยค่ะ และวันที่ว่างเร็วที่สุดคือวันที่ 17 มกราคม นั่นคือวันที่กลับถึงไทยแล้ว นั่นคือความผิดพลาดอย่างมากที่ไม่ได้ศึกษาให้ดี ๆ ก่อน เศร้ามากเลยค่ะ และถึงอยากจะเข้าชม จัตุรัสเทียนอันเหมิน (Tiananmen Square), อนุสาวรีย์วีรชน (Monument to the People's Heroes), อนุสรณ์สถานประธานเหมา (Chairman Mao Zedong Memorial Hall) บริเวณนั้นก็ตาม ก็ไม่สามารถเข้าชมได้เลยถ้าไม่ได้จองตั๋วเข้าชมไว้ก่อน และจะบอกว่าคนเยอะมากค่ะ แน่นไปหมดทุกที่คนต่อแถวเข้าชมยาวมาก ถ้าเพื่อน ๆ ท่านไหนจะไปเที่ยวชมสถานที่ต่าง ๆ บริเวณนี้จองตั๋วออนไลน์ไว้เลยนะคะ ไม่งั้น...พลาดเหมือนอรแน่นอน เราจึงได้แค่มองอยู่ข้างนอก อยู่ห่าง ๆ อย่างเศร้าเลยค่ะ เศร้านานไม่ได้ค่ะ เวลาก็เดินไปเร็วเหมือนกัน อรเลยต้องหาสถานที่แถวนั้นลองไปเดินดูก่อน ลองหาดูในแอพแผนที่แล้วก็เจอ ประตูเจิ้งหยาง (Zhengyangmen) ประตูนี้ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของจัตุรัสเทียนอันเหมิน ห่างออกไปสัก 1-2 กิโลเมตรเลยค่ะเลยนั่งรถเมล์จากฝั่งหน้าพระราชวังต้องห้ามไปลงป้ายแถวประตูเจิ้งหยาง แต่ก็เข้าไปไม่ได้เหมือนกันค่ะ เขากั้นไว้ไม่ให้เข้าไปข้างในใกล้ ๆ เลยได้แต่ถ่ายรูปอยู่ด้านนอกค่ะ จุดที่ไปยืนถ่ายรูปอยู่ในรูปกับประตูเจิ้งหยางนั้น เป็นสวนสาธารณะเฉียนเหมิน (Qianmen Park) ก็จะมีประตูใหญ่ตั้งอยู่ด้วย แต่เราเดินทะลุผ่านไม่ได้นะคะต้องได้เดินอ้อมไป ระหว่างเดินอ้อมไปนั้นอรเห็น พิพิธภัณฑ์รถไฟจีน (China railway museum) แต่อรไม่ได้เข้าไปชมนะคะ เสียดายมากเลยค่ะ มีสถานที่มากมายที่อยากไปอีก อยากรู้ว่าจะใหญ่โตอลังการและสวยงามมากแค่ไหน...ต้องกลับไปเที่ยวอีกรอบ อิอิ พอเดินอ้อมไปแล้ว ก็จะตะลึงนิด ๆ สถานที่ดูโบราณและใหญ่โตมาก คือ ถนนเฉียนเหมิน (Qianmen Street) นั่นเองค่ะ เป็นถนนคนเดิน เป็นถนนสายวัฒนธรรมซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี ถนนเป็นเส้นตรงยาว ๆ ไปเลยค่ะ เขากั้นไม่ให้รถเข้าเราสามารถเดินเล่นได้อย่างปลอดภัย สามารถถ่ายรูปกับสถาปัตยกรรมที่มีตลอดเส้นทาง และที่เห็นด้านหน้าทางเข้าคือ รถรางโบราณที่จอดอยู่และอาจจะวิ่งได้จริงเพราะมีรางรถอยู่ตลอดถนน และถนนเฉียนเหมินเป็นย่านทางการค้าที่ใหญ่ รวมร้านอาหาร ภัตตาคารระดับประเทศที่คัดมาแล้ว ร้านค้า และร้านแบรนด์เนมมากมาย มีหุ่นขี้ผึ้งเฉินหลง และหุ่นนักแสดงบางท่านโชว์อยู่ด้วยนะคะ มื้อเที่ยงของอรน่าจะเป็นวุ้นเส้นหมาล่าเสฉวนนะคะ เห็นคนซื้อมากินสองสามคนเลยไปถามเขาดูว่าซื้อได้จากที่ไหนและเขาพาไปสั่งที่ร้าน เพราะเขาพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ ชอบความเผ็ดนิด ๆ ความหนัวของน้ำซุป และเครื่องในที่ให้มาเต็ม อร่อยมากเลยค่ะ ส่วนราคานั้น ราคาประมาณ 175 บาท (35 หยวน) อื่มท้องมีแรงเดินต่อแล้วค่ะ เดินวน ๆ แถวนั้นต่ออีกนิดหน่อยผ่าน ถนนเหม่ยซื่อ ที่เต็มไปด้วยร้านค้าและบ้านเรือนแบบจีนสวยงานเหมือนในหนังเลย(ปลื้ม) เพื่อไปรถไฟฟ้าใต้ดินสาย 2 (สีน้ำเงิน) กลับไปโรงแรมกันค่ะ ก่อนจะเดินกลับเข้าโรงแรมต้องเดินผ่าน สวนสาธารณะชิงเฟิง (Qingfeng Park) ที่ใหญ่มาก สามารถเดินเลียบคลองไปได้ยาว ๆ เป็นมุมสงบกับธรรมชาติในเมืองได้ดีเลยค่ะ และมีหิมะให้ได้เห็นและได้สัมผัสเล็กน้อย สดใส สดชื่นไปเลยค่ะ อากาศหนาวมากเช่นเคยติดลบนิด ๆ ค่ะ พอเดินมาถึงหน้าโรงแรมเห็นจักรยานที่สามารถเช่าได้จอดอยู่ข้างหน้าโรงแรมเต็มเลยมีสีฟ้าและสีส้ม เห็นแล้วมันทนไม่ได้อะนะ ของมันต้องลอง จัดไปหนึ่งค่ะ...ปั่นดูสักรอบ จักรยานสีฟ้านี้สามารถเช่าและจ่ายผ่านแอพอาลีเพย์ (Alipay) ได้เลยนะคะ โดยต้องจ่ายเริ่มต้นก่อนการเช่าก่อนประมาณ 25 บาท (5 หยวน) และจ่ายอีกประมาณ 7.5 บาท (1.5 หยวน) ต่อ 30 นาที รวมแล้วประมาณ 22.5 บาท ก็ถือว่าไม่แพงมากับการปั่นจักรยานครึ่งชั่วโมง อรก็ปั่นจักรยานเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า วนกลับมาที่หน้าโรงแรมเหมือนเดิมค่ะ ก็แวะทานข้าวเย็นที่ร้านอาหารข้างโรงแรม ก่อนเข้าโรงแรมไปพักร่างกายให้เต็มที่นั้น สำหรับเรื่องอาหารหารกินนั้นก็ต้องจัดไปชุดใหญ่ซิค่ะ สั่งบะหมี่น้ำซุปมะเขือเทศ นมสตรอเบอร์รี่, และนมถั่วลิสง ทั้งหมดนี้ราคาประมาณ 130 บาท (26 หยวน) ราคาถูก ให้เยอะ และอร่อยมากจะบอกให้ ถึงแม้พนักงานที่ร้านจะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ก็ตาม (ยกเว้นน้องผู้ชายตอนเช้านะคะเขาพูดภาษาอังกฤษได้นิดหน่อย) พนักงานก็ใจดีมากและชี้ ๆ จิ้ม ๆ ตัวเลขให้จ่ายเงิน เขาแนะนำให้ดื่มนมถั่วลิสงที่เขาแช่ในน้ำอุ่น ๆ ทำให้ร่างกายอบอุ่นได้ดีเลยทีเดียวค่ะ เข้าห้องพักแล้วอย่างแรกที่อยากทำก่อนเลยคือสิ่งนี้ค่ะ แช่เท้าด้วยน้ำอุ่น เดินเยอะมา 3 วันแล้ว เหมือนเท้าจะบวมเลยจ้า วันนี้คงนอนสลบแน่นอนค่ะ...ส่วนค่ำนี้ต้องเตรียมจัดกระเป๋าเดินทางเผื่อไว้เลยค่ะ เพราะวันพรุ่งนี้ต้องเช็คเอาท์ออกตอนบ่ายโมงเพื่อไปขึ้นรถไฟตู้นอนที่สถานีรถไฟปักกิ่ง (Beijing Railway Station) เพื่อไปเมืองฮาร์บินกันค่ะ วันที่ 3 ในจีนจบลงด้วยดีเหมือนเดิมค่ะ เพิ่มเติมคือปวดเท้ามาก วันนี้อรเดินไปทั้งหมด 16,394 ก้าว โดยประมาณ 10.13 กิโลเมตร รูปประกอบทั้งหมดโดยเจ้าของบทความ อยากไปเที่ยวไหนหรือเปล่า? หาข้อมูลที่เที่ยวสุดปังได้ที่ App TrueID โหลดเลย ฟรี !