หลังจากอัดอั้นมา 2 ปีกว่า พอเห็นโปรแกรมทัวร์ยุโรปคอนเฟิร์มว่ากรุ๊ปได้ออกแน่นอน เราก็จุดพลุจองทันใด สิิ้นสุดการรอคอยบทความนี้เลยจะมาเล่าประสบการณ์ ขั้นตอน และการเตรียมตัวไปทริปต่างประเทศให้เป็นข้อมูล เผื่อใครกำลังเล็งๆ จะไปเที่ยวแถบนั้นเราเลือกโปรแกรมที่มีประเทศในฝันอย่าง สวิตเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส และ เบลเยี่ยม การเดินทางและค่าใช้จ่ายราคาทัวร์คือ 79,900 บาท เราซื้อกับบริษัท Siam Travel Mart ราคานี้คือ รวมค่าตั๋วเครื่องบิน โรงแรม อาหาร ค่าเข้าชมสถานที่เที่ยวต่างๆ รวมทั้งการเดินเรื่องของวีซ่าด้วย ครบถ้วน นอกจากนี้ทางบริษัททัวร์จัดการลงทะเบียนแอพของการเข้าประเทศสวิส แอพของอียู และ Thailand Pass ให้เสร็จสรรพ แทบไม่ต้องทำอะไร นอกจากจ่ายตังค์ ฮาเราบินกับสายการบิน Emirates จากสนามบินสุวรรณภูมิ แล้วแวะต่อเครื่องที่ดูไบ เครื่องใหญ่นั่งสบาย ตอนเช็คอินต้องแสดงผล PCR อยู่ระหว่างเที่ยวบิน กัปตันจะประกาศเน้นให้ผู้โดยสารและลูกเรือสวมหน้ากากตลอดเส้นทาง แถมยังมีแจกหน้ากากอนามัยและเจลล้างมือบนเครื่องด้วย ถอดหน้ากากออกช่วงทีรับประทานอาหารและเครื่องดื่มเท่านั้นตัดภาพมาที่ตรวจคนเข้าเมือง หรือ Immigration ของสวิตเซอร์แลนด์ ไม่ยากเลยจริงๆ โชว์ผลตรวจ PCR สดๆ ร้อนๆ ลงทะเบียนแคปหน้าจอ ให้ จนท ดู ไม่มีวัคซีนพาสปอร์ต ก็เข้าได้ เด้อจ้าสวิตเซอร์แลนด์สวิตเซอร์แลนด์ยังคงเป็นสวิตเซอร์แลนด์ค่ะ ภูเขา ทุ่งหญ้า อากาศหนาว และ สวยไปหมด ลงเครื่องที่ซูริคแล้วเรานั่งรถไปเที่ยวลูเซิร์นจุดท่องเที่ยวในลูเซิร์น์ เก็บครบหมดค่ะ อนุสาวรีย์สิงโตร้องไห้ สะพานไม้ชาเปล ตัวเมืองเก่าของลูเซิรน์ที่เต็มไปด้วยร้านค้า เปิดให้บริการตามปกติ มาทั้งที มันต้องได้เห็นหิมะขาวโพลน คราวนี้เราได้ขึ้นกระเช้าไปบนยอดเขาทิสลิสด้วย วันที่ไปหิมะตกพอดี มีนักท่องเที่ยวบ้านเขาแบกสกีขึ้นไปเล่น ก่อนจะขึ้นเขา ขึ้นกระเช้า เจ้าหน้าที่่จะตรวจแอพ Covid Zertifcate แนะนำให้แคปหน้าจอไว้บนมือถือ โชว์คิวอาร์โค้ด คือจบขึ้นไปนอนคลุกหิมะ เก็บภาพ ร้องเพลง Let it go... Let it go อันนี้เป็นวิวจากลานจอดรถในโรงแรมที่สวิส ต้องสวยเบอร์นี้ไหมพักที่สวิส 2 คืนแล้ว นั่งรถไฟ TGV จากสถานี Basel ที่สวิสไปยัง Gare de Lyon ที่ฝรั่งเศส เป็นรถไฟความเร็วสูงวิ่งข้ามประเทศ มีเจ้าหน้าที่ด้านศุลกากรของฝรั่งเศสขึ้นมาตอนเข้าประเทศเขา แต่ไม่มีการขอดูหลักฐานอะไรนอกจากตั๋วรถไฟ และ ไม่ต้องตรวจพีซีอาร์ตอนข้ามประเทศค่ะหมายเหตุ บนรถไฟไม่ได้ประกาศให้สวมหน้ากาก แต่เจ้าหน้าที่และนายตรวจจะสวมหน้ากากอนามัยทุกคนค่ะ เราเองก็ป้องกันไว้ก่อน เพราะผู้โดยสารต่างชาติหลายคนก็นั่งเมาท์มอยเสียงดัง ไม่ได้สวมหน้ากากประเทศฝรั่งเศสที่ฝรั่งเศส สถานที่ท่องเที่ยวทุกแห่งเปิดให้บริการตามปกติ ทั้งกลางวันและกลางคืน โปรแกรมเราได้ไปลานหน้าหอไอเฟล ล่องเรือ Bateau Mouche แม่น้ำแซน และเข้าชมพระราชวังแวร์ซายส์ ครบมาก ที่สำคัญคือ วันที่เราไปอากาศดี ฟ้าใส และคนไม่เยอะที่พระราชวังแวร์ซายส์จะตรวจเข้มสุด ทั้งสัมภาระและหลักฐานการฉีดวัคซีน ใครฉีดซิโนฟาร์มไป แล้วไม่ได้กระตุ้น ไม่สามารถเข้าได้ค่ะ เราเห็นมีนักท่องเที่ยวชาวไทยต้องรอด้านนอกมาแล้ว ที่ปารีส เรายังได้ไปช้อปปิ้งที่ห้างดังเปิดใหม่ รับประทานอาหารพื้นเมือง อย่างหอยทากอบเนย และ ไวน์ด้วย รสชาติดีมาก ประทับใจกันถ้วนหน้าภาพสวยๆ ที่เห็นนี่คือ เราไม่ได้แต่งแสงหรือสีภาพแต่อย่างใด สภาพในวันที่เราอยู่ที่นั่นจริงๆ ทั้งกลางวันและกลางคืน จากฝรั่งเศสเรานั่งรถบัสเข้าไปประเทศที่สามในโปรแกรม นั่นก็คือ เบลเยี่ยมค่ะ พรมแดนประเทศในยุโรปจะติดกันหมด เดินทางโดยรถไม่เสียเวลามากมาย ไม่ต้องตรวจพีซีอาร์ตอนเข้าประเทศประเทศเบลเยี่ยมเราไม่เคยมาประเทศนี้มาก่อน แล้วมาครั้งนี้มีโอกาสได้เที่ยวเมืองหลักๆ ของเขาถึงสี่เมืองเลย คุ้มมากเมืองหลวงก่อนเลยค่ะ บรัสเซลล์ อลังการงานสร้างมาก ทางม้าลายสีรุ้ง คือ หนึ่งในสัญลักษณ์การสนับสนุนความหลากหลายทางเพศในบรัสเซลล์สวยและโล่งแค่ไหน ถามใจดูค่ะ กลางเมืองนี้จะมีป้ายติดไว้ว่าบังคับสวมหน้ากากอนามัยนะคะถัดมาคือ เมืองเกนท์ ตึกรามบ้านช่องเขาคือสวยมาก มีแม่น้ำลำคลองกลางเมือง เก๋ไก๋ไม่แพ้เวนิส เดินถ่ายรูปโล่งๆ สบายใจต่อกันที่เมืองบรูซ นั่งรถมาจากเมืองเกนท์แค่ 20 นาที เป็นเมืองที่บรรยากาศดีมาก ช่วงที่เราไปคือ อากาศประมาณ 12 องศา ได้นั่งทานอาหารนอกร้าน ชิมวัฟเฟิลและไอศครีม ในความหนาว เมืองสุดท้ายที่ได้เที่ยวในเบลเยี่ยม คือเมือง Antwerp เป็นเมืองเศรษฐกิจและเมืองท่า ที่สวยและน่าเที่ยว ความที่เป็นเมืองท่า อยู่ติดทะเล ลมก็จะแรงหน่อย บวกกับอากาศเย็นๆ ถ้าใครหลบร้อนนี่ต้องชอบเลย ตอนที่เราไปมีชิงช้าสวรรค์ใหญ่ให้ซื้อตั๋วขึ้นไปด้วย ราคา 20 ยูโรมองเผินๆ ยังรู้สึกได้เลยว่า เมืองนี้เป็นเมืองอินดี้พอสมควร ดูจากแฟชั่นสีฉูดฉาดของเขา แล้วยังจะตลาดนัดแบกะดินอีกตอนอยู่ที่เบลเยี่ยม เราพักที่โรงแรม IBIS Brussels Airport วันก่อนบินกลับ ทางโรงแรมช่วยประสานงานให้เจ้าหน้าที่มาตรวจ PCR ให้ที่โรงแรม เสียค่าตรวจ 150 ยูโร เนื่องจาก ณ ตอนนั้นเรายังต้องใช้ผลตรวจเป็นลบเพื่อเดินทางเข้าไทยถือเป็นโรงแรมที่สะดวกสบายมาก อาหารเช้าครบครัน เจ้าหน้าที่โรงแรมสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา โรงแรมมีบริเวณภายนอกให้เดินเล่นได้ หรือนั่งรับประทานอาหาร นั่งดื่มด้านนอกได้ ครบทุกโปรแกรม ตามรายการ พร้อมบินกลับตอนเช็คอินที่สนามบิน เจ้าหน้าที่สายการบินจะขอดูคิวอาร์โค้ด Thailand Pass และหลักฐานการจองโรงแรมในการกักตัว 1 วันตามมาตรการด้วยค่ะ อันนี้เลือกได้เลยตามอัธยาศัย เราเลือกโรงแรม LUXX แถวหลังสวน ราคา 4500 บาท รวมรถมารับที่สนามบินและค่าตรวจ PCR อีกหนึ่งครั้ง ห้องพักของโรงแรม LUXX และสิ่งอำนวยความสะดวกถือว่าโอเคเลยค่ะ โดยรวมเราว่าทริปโอเคกว่าที่คิด ตรงที่นักท่องเที่ยวไม่เยอะ อากาศดีมาก เหมือนได้ให้รางวัลตัวเอง ใครอยากถ่ายรูปสวยๆ โล่งๆ ต้องเที่ยวช่วงนี้เลยค่ะชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบฉันใด การเดินทางก็ไม่ได้ราบรื่นเสมอไปฉันนั้นแหละ ฮา นี่คงต้องเป็นคำขวัญที่สายเที่ยวอย่างเราต้องท่อง ทำใจ และเผื่อใจไว้ ถ้าคิดจะเที่ยวในช่วงสถานการณ์โรคระบาด ในอนาคตคาดว่า มาตรการจะมีการปรับเปลี่ยนอีก การท่องเที่ยวอาจไม่เหมือนเดิม แต่ก็คงดีกว่าไม่ได้ท่องเที่ยวเลยการใช้ชีวิตก็คงเป็นแบบ new normal ทั้งหน้ากากอนามัยและแอลกอฮอล์ ในโรงหนัง ในห้างสรรพสินค้า แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีโอกาสได้ดูหนังจอใหญ่ในโรงหรือได้ช้อปอีกต่อไป เราจะใช้ชีวิตอยู่กับคุณโรคระบาดให้ได้หมายเหตุ ผู้เขียนฉีดวัคซีน Sinovac สองเข็มและกระตุ้นด้วย Astra Zeneca ไม่มีวัคซีนพาสปอร์ตขณะเดินทาง ได้รับวีซ่าเชงเก้น 6 เดือนจากการขอตามปกติพร้อมกับลุกทัวร์ขอจบการเล่าสู่กันฟังด้วยประการฉะนี้รู้ว่าเสี่ยง แต่คงต้องขอลอง... ฮัมเพลงวนไป ขอขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านนะคะ หวังว่าข้อมูลจะเป็นประโยชน์อยากไปเที่ยวไหนหรือเปล่า? หาข้อมูลที่เที่ยวสุดปังได้ที่ App TrueID โหลดเลย ฟรี!