ไม่รู้จะไปเที่ยวไหนดีก็เลยแวะไปเชียงใหม่ เป็นทริปปุปปับมากๆ เพราะทริปเที่ยวต่างประเทศล่มเลยต้องไปซบเชียงใหม่เพื่อเยียวยาจิตใจ จริงๆ ก็อยากนั่งรถไฟเที่ยวแบบชิลๆ ด้วย ภาพที่วาดฝันไว้ในหัวก็คือนั่งรถไฟชั้น 1 เบาะสีแดง แต่!! อย่างที่บอกว่ามันเป็นทริปปุปปับอยากไปก็จองเลยมันเลยไม่มีรถไฟชั้นดีๆ เหลือแล้วค่ะ แต่ก็ยังไม่ตัดใจที่จะไป สู้มากเลยตัดสินใจไปชั้น 3 นั่งท้าลมหนาวไปทั้งคืนเลย และเพราะว่าเราไปด้วยรถไฟทริปนี้เลยใช้งบประมาณที่ต่ำอย่างเหลือเชื่อเลย จะใช้งบเท่าไร ไปตะเวนเที่ยวและกินที่ไหนบ้างไปชมกันเลยค่ะ เริ่มต้นการเดินทางไปกับรถไฟขบวน 51 ออกจากกรุงเทพ 22.00 น. ถึงเชียงใหม่ประมาณช่วงเที่ยง บนรถไฟนั้นจะมีห้องน้ำให้ แต่ทว่าขบวนที่เราไปในวันนั้นห้องน้ำดันน้ำไม่ไหลเฉย ทิชชู่ก็หมด แต่โชคดีที่เราเตรียมติดตัวไปด้วย บรรยากาศบนรถไฟชั้น 3 มันก็ไม่ได้แย่นะคะ ไม่ได้สบายแต่ก็ไม่ถึงกับว่าจะลำบากแต่มันคงดีกว่าถ้าเราสามารถนอนเหยียดขาได้ แต่ถ้าจองไม่ทันไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริงๆ ชั้น 3 ก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น จริงๆ ที่เลือกขบวน 51 ออกจากกรุงเทพ 22.00 น. นั้นจริงๆ มีเหตุผลอื่นด้วยคือเราไปได้ยินมาว่าหากไปขบวนนี้ช่วงเวลาเช้ามืดจะบรรยากาศดี คือมันจะไปถึงเส้นทางทีวิวสวยในช่วงเวลาที่เหมาะสม สามารถถ่ายรูปได้สวย แต่เอาเข้าจริงก็คือหลับค่ะ ไม่ตื่นค่ะ ตื่นอีกที่เก้าโมงเช้าเลยไม่ได้เก็บภาพอะไรเลย รีวิวนั่งรถไฟชั้น 3 กรุงเทพ - เชียงใหม่ 14 ชั่วโมง สายลุย อยากลอง มาอ่าน!!พอรถไฟถึงเชียงใหม่เที่ยงเราก็ตรงดิ่งหารถแดงเข้าตลาดเลย เราสามารถดีลกับรถแดงถึงจุดที่จะลงได้นะคะ เขาก็จะคิดค่าบริการเริ่มต้นที่ 50 บาท รถแดงหน้าสถานีรถไฟเราสามารถเหมาได้หรือรอผู้โดยสารคนอื่นๆ แล้วจ่ายค่าบริการตามระยะทางได้ หากใครจะไปแม่กำปองก็ไปลงตลาดวโรรส หรือใครพักแถวคูเมือง ประตูท่าแพ ประตูเชียงใหม่ก็ทำการตกลงเรื่องราคากับคนขับได้เลย ขาไปเราไปลงตลาดวโรรสค่ารถ 50 บาท มาถึงเราก็เช็คอินที่พักก่อนเลย แต่ครั้งนี้เราเลือกพักประเภทโฮสเทล เพราะส่วนตัวชอบโฮสเทลแต่ขออนุญาตไม่เอ่ยชื่อที่พัก เนื่องจากจบทริปกลับบ้านแล้วเป็นโควิด ใครๆ ก็โทษแต่ว่าเพราะนอนโฮสเทล ซึ่งมันก็ไม่ได้รู้แน่ชัดว่าเราไปรับเชื้อมาจากตรงไหนของเชียงใหม่กันแน่ ดังนั้นเพื่อไม่ให้ที่พักเสียหายเราขออนุญาตไม่แจ้งชื่อที่พัก ใครไม่สบายก็เลือกนอนเป็นที่พักประเภทห้องส่วนตัวแทนห้องรวม แพลนวันแรกไม่มีอะไรมากเพราะนั่งรถไฟมาอย่างยาวนาน ถึงที่พัก อาบน้ำ พักขา รอเวลาให้แดดร่มลมตกจึงออกไป "คลองแม่ข่า" จุดเช็คอินสุดชิคที่ใครๆ ก็ไปกัน ซึ่งคลองแม่ข่านั้นอยู่ห่างจากประตูท่าแพประมาณ 2 กิโลเมตรก็เดินได้นะคะ ทางเราก็เดินไป หรือใครจะเช่ามอเตอร์ไซค์หรือจักรยานก็ได้ตามที่สะดวกค่ะ เดิมทีคลองแม่ข่านี้เป็นเสมือนคูเมืองชั้นนอกที่โอบล้อมตัวเมือง เป็นเส้นทางน้ำจากอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพระบายลงสู่แม่น้ำปิง ซึ่งมีประวัติคู่เมืองเชียงใหม่มาอย่างยาวนาน และมาพัฒนาเป็นแลนด์มาร์คใหม่ที่ให้ฟีลญี่ปุ่นจนใครๆ ต่างพากันเรียกว่าโอตารุเมืองไทย ที่นี่เต็มไปด้วยไอเดียที่สร้างสรรค์เปลี่ยนโฉมชุมชนธรรมดาๆ ให้มีบรรยากาศโดยรวมมีความผสมผสานระหว่างมินิมอล คลาสสิกและวินเทจ บรรยากาศดี ของกินเยอะมาก คลองแม่ข่านั้นจะเปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 15.00 น. ไปจนถึง 22.00 น. แต่เวลาที่อยากจะแนะนำให้มาเที่ยวชมที่นี่นั้นคือ 17.00 น. เนื่องจากหากมาช่วง 15.00 น. ร้านต่างๆ จะเพิ่งเริ่มตั้งร้าน อาจจะยังไม่พร้อมบริการแต่เวลาประมาณห้าโมงเย็นนั้นเกือบทุกร้านจะพร้อมรับลูกค้าหนำซ้ำแดดจะไม่ร้อน และไฟคลองจะเปิดสว่างไสวในช่วงเวลา 18.00 น. เป็นต้นไป บอกเลยว่าบรรยากาศดี ถ่ายรูปสวยมากๆ ค่ะ ทางเราเดินชิมอาหารตั้งแต่ต้นซอยจนถึงท้ายซอย กาแฟสด 1 แก้ว ชาพีชและชามะนาวอย่างละ 1 แก้ว หมูย่าง 5 ไม้ ไม้ละ 10 บาท ไอศกรีมกะทิ และข้าวโพดอบเนย เบ็ดเสร็จหมดไปประมาณ 200 บาท ส่องของกินพร้อมราคาที่คลองแม่ข่า ที่เที่ยวเชียงใหม่สุดชิคที่ต้องไปวันถัดมาเราก็ตะเวนเที่ยวในตัวเมืองเน้นหาร้านนั่งชิลและร้านข้าวซอย ก็มาเหนือทั้งทีก็ต้องกินข้าวซอย เลือกเป็นร้าน Yoy's Coffee & Thai Food เพราะเห็นรีวิวว่าข้าวซอยอร่อย ข้าวซอยของร้านนี้ถ้วยละ 70 บาท ต่อจากนั้นก็ไปนั่งชิลที่ร้านกาแฟสดเพื่อหามุมสงบทำงานสักนิด ร้านกาแฟที่เราเห็นแล้วชอบก็คือร้าน CoolMuang CoffeeCoolMuang Coffee เป็นคาเฟ่ไม้ที่มองจากภายนอกเหมือนจะเล็ก แต่ภายในยังมีโซนอื่นๆ อีก มีที่นั่งหลายโซน และยังมีสตรีทอาร์ตที่กำแพงในคาเฟ่ด้วย กาแฟของร้านนี้จะเริ่มต้นที่ราคา 80 บาท สิ่งที่ชอบคือสั่งหวานน้อยได้หวานน้อยดั่งใจมากค่ะ และนั่งทำงานได้จริงไม่มีสายตามองจิก เราทำงานได้อย่างสบายใจเลย วันที่สองนี้เน้นชิลและนั่งชิล ไม่ได้ออกไปเที่ยวไหนไกลๆ นอกจากข้าวซอยและร้านกาแฟก็ยังมีอีกร้านที่อยากจะแนะนำนั่นคือ Stories cafe & Bistro Chiang Mai เป็นคาเฟ่ที่สไตล์ต่างจากคาเฟ่แรก คาเฟ่นี้จะดูเรียบหรูดูแพง แต่ราคาอาหารข้างในไม่ได้ราคาแรงขนาดนั้น ราคาเครื่องดื่มเริ่มต้นที่ 80 บาทขึ้นไป เมนูทานเล่นราคาเริ่มต้นที่ 95 บาทขึ้นไป เราชอบเนทูล่าคอฟฟี่ หวานมันหอมและขนมปังกระเทียมของที่นี่คือกรอบอร่อยมาก หอมเนยและกระเทียมอีกเช่นกัน และเป็นคาเฟ่ที่สามารถนั่งชิลและนั่งทำงานได้เช่นกัน ทางเราเห็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติแบกโน้ตบุ๊กมานั่งทำงานที่นี่เยอะมากเลย ที่นั่งของที่นี่มี 2 โซนคือภายในคาเฟ่เป็นห้องปรับอากาศ และที่นั่งด้านนอกจะเป็นเคาว์เตอร์ไม้ริมฟุตบาท คนก็จะพลุกพล่านหน่อยค่ะ ส่วนวันที่ 3 ก็คือวันนั่งรถไฟกลับ ถ้าใครมีเวลาต่อแนะนำให้ไปเที่ยวแม่กำปอง แต่ทางเราเคยไปแล้วเลยไม่ไปซ้ำ หากใครอยากจะไปที่ไหนต่อแนะนำให้เดินไปแถวๆ ประตูท่าแพตรงนั้นจะมีทั้งรถตุ๊กๆ และรถแดงจอดเรียงรายอยู่ สามารถไปแบบเหมาๆ หรือไปจอยกับคนอื่นก็ได้เช่นกัน แต่ถ้าจอยกับคนอื่นก็อาจจะต้องรอให้พอมีคนสองสามคนรถถึงจะออก ขากลับจากประตูท่าแพไปสถานีรถไฟค่ารถอยู่ที่ 120 บาทที่สถานีรถไฟเชียงใหม่ช่วงกลางวันร้านข้าวจะไม่เปิดนะคะ จะมีแค่ร้านลูกชิ้น ข้าวเหนียวหมูปิ้ง ขนมจีบซาลาเปาแทน ออกจากเชียงใหม่ช่วงเย็นๆ และถึงกรุงเทพเช้าอีกวันเป็นอันจบทริป เราเดินทางกลับกับขบวน 14 เป็นประเภทรถไฟด่วนพิเศษซึ่งบนรถไฟไม่มีคนหาบอาหารเดินขายและไม่มีตู้เสบียง ดังนั้นใครจองขบวนนี้ก็หาขนมหรืออาหารมื้อเย็นติดตัวไปด้วยก็จะดีค่ะ สรุปค่าใช้จ่าย ค่ารถไฟกรุงเทพ - เชียงใหม่ ราคา 271 บาทค่าที่พักประเภทโฮสเทล 434 บาท ค่ารถแดงไปกลับสถานีรถไฟ - ตัวเมืองเชียงใหม่ 170 บาทค่ากินที่คลองแม่ข่า 200 บาทค่ากินวันที่สองประมาณ 400 บาทค่ารถไฟเชียงใหม่ - กรุงเทพ ราคา 841 บาท อื่นๆ เช่น ยาสระผม สบู่ ของกินที่สถานีรถไฟ ประมาณ 350 บาท รวมทั้งหมด 2,666 บาทและนี่ก็คือทริปเที่ยวเน้นตะลุยและตะเวนกินในตัวเมืองเชียงใหม่เพราะเดินทางด้วยรถไฟค่าใช้จ่ายมันเลยเบาๆ แบบนี้ สุดท้ายนี้หากใครชอบบทความนี้ก็สามารถแชร์ออกไปได้เลยนะคะ หรือถ้าอยากติดตามเรื่องราวอื่นๆ ของเราก็สามารถติดตามกันได้ที่ Facebook : แบกกล้องชิวเที่ยวไปเรื่อย หรือ YouTube ช่อง I Tell You Try- เรียบเรียงเนื้อหาและภาพโดยหญิงเถื่อนอยากไปเที่ยวไหนหรือเปล่า? หาข้อมูลที่เที่ยวสุดปังได้ที่ App TrueID โหลดเลย ฟรี !