ก่อนอื่นต้องขอเกริ่นนิดหน่อย เนื่องจากเป็นคนที่ไม่ค่อยออกจากบ้านเท่าไหร่ สถานที่ต่างๆจึงดูสวยงามไปหมด และนั่นก็รวมไปถึงสวนนงนุชแห่งนี้เช่นกัน “สวนนงนุช” ตั้งอยู่ อ.สัตหับ จ.ชลบุรี แต่บางคนก็ชินกับการเรียก“สวนนงนุชพัทยา”ก็ตามแต่ศรัทธาละกัน ใครจะเรียกอย่างไร เพราะสิ่งที่สำคัญไปกว่านั้น คือความสวยงามและความอัศจรรย์ที่ซ่อนอยู่ในนั้นต่างหากที่ทำให้เราต้องหยิบยกเรื่องนี้มาเล่าให้หลายคนฟัง เราเดินทางมาโดยรถส่วนตัว ออกจากกทม.ใช้เวลาเกือบ2ชั่วโมง (ระยะทางจริงๆไม่ถึงหรอกเพียงแต่เรามีลูกเล็กเลยแวะบ่อยไปหน่อย) มาถึงที่นี่ก็11โมง เห็นจะได้ ต้องบอกว่าสวนนงนุชพัทยาในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา อากาศมันร้อนระอุเหลือเกิน แบบว่าก้าวขาออกจากรถนี่เหมือนอยู่คนละโลกเลย หากท่านใดสนใจจะมาแวะชม แนะนำเป็นร่มติดตัวไว้ก็ดี ใช้ได้ทุกฤดูกาล เมื่อมาถึงเราจะเห็นบรรยากาศของต้นมะกอกโอลิฟที่ประดับอยู่สองข้างทางเข้าสวน อายุของแต่ละต้นก็น่าจะพอๆกับยายทวดของเราเลย ว่ากันว่าต้นมะกอกโอลิฟเหล่านี้มีมูลค่าหลักหมื่นไปจนถึงหลักแสนด้วยซ้ำ อ่อ!นี่เป็นทางเข้าสวน ลืมบอกไปว่า จริงๆเขามีต้นไม้ประดับประดาอยู่สองข้างทางตั้งแต่เลี้ยวเข้ามาจากถนนหลักเสียอีก แค่นี้ก็ชวนให้ใจระริกระรี้กับต้นไม้ที่จะพบเจอต่อไปแล้ว นาทีแรกเป็นบทบาทของการเสียทรัพย์ ซึ่งเราเจ็บตัวกันไปคนละ300บาทถ้วน (เด็กเล็กไม่คิดค่าบริการ) ส่วนชาวต่างชาติก็จะอีกราคา เมื่อซื้อตั๋วเสร็จก็แสกนเข้าประตูกันไปเลย แต่ตอนซื้อตั๋วจะมีโปรโมชั่นเสริมด้วย พนักงานจะถามคุณว่าสนใจใช้บริการรถนำเที่ยวไหม ซึ่งมันมีค่าใช้จ่ายเพิ่มร้อยกว่าบาท (ซึ่งเราแนะนำว่าเอาเหอะ ถ้าเดินเองทั่วสวนจะกลับบ้านไม่ไหวเอาน่ะ) ระหว่างเดินทางไปขึ้นรถที่จุดบริการรถนำเที่ยวไฮไลท์แรกเจอกับฝูงช้างก่อนเลย เด็กๆชอบมากกรี๊ดกร๊าดกันใหญ่ ส่วนพ่อแม่ไม่ไหวกลัวจะพ่นน้ำใส่รีบอุ้มออกมาเพื่อ เดินทางไปยังจุดบริการรถนำเที่ยว หลังจากรถนำเที่ยวเริ่มเคลื่อนล้อออก เป้าหมายแรกที่จะไปแวะชมกันนั้น เป็นส่วนกล้วยไม้และสัปปะรดสี ตรงนี้ชื่อสายพันธุ์ไม้เป็นสองตระกูลใหญ่ๆก็จริง แต่ความหลากหลายนั้นบอกเลยเพียบ เราจะเจอกับกล้วยไม้และสัปปะรดสีที่ไม่เคยพบเคยเห็นมากมาย แถมยังมีรูปปั้นมดเป็นฝูงๆให้เด็กๆได้ถ่ายรูปกัน เพิ่มเติมการใช้รถนำเที่ยวที่นี่ เขามีจุดบริการขึ้นรถ 3หรือ 4จุดนี่แหละ (จำไม่ได้) สาเหตุที่จำไม่ได้เพราะเราไม่จำเป็นต้องไปขึ้นรถทุกจุดบริการ โดยเราสามารถลงชมด้วยวิธีการเดินได้ตลอด บางสถานที่ก็เป็นบันไดลอยฟ้าให้เดินชมภาพมุมสูง และเราก็สามารถเดินต่อไปได้ทั่วสวนเลย เมื่อเราเริ่มเดินไม่ไหว แขนขาอ่อนแรงก็ค่อยไปขึ้นจุดบริการรถนำเที่ยวที่อยู่ใกล้สุด เพื่อย้ายสถานที่ที่จะเที่ยวชมกันต่อภายในสวน (ก็สวนมันใหญ่โตจริงๆ) ทั้งนี้ไม่ต้องเสียค่าบริการเพิ่มแต่อย่างใด แบบนี้ก็ดีไม่ต้องมากังวลกับเที่ยวรถหรือเวลาในการลงไปชม เพราะแต่ละคนก็ชอบในแต่ละสถานที่ไม่เหมือนกัน เลยใช้เวลาที่แตกต่างกัน เรามาขึ้นรถนำเที่ยวอีกครั้งก็ตอนจะกลับแล้ว ซึ่งก่อนขึ้นรถก็ได้ไปแวะชมสวนอีกมากมาย จำเป็นชื่อสถานที่ไม่ได้ แต่จะบอกเป็นไฮไลท์ดีกว่า เช่นสวนไม้ดัด ที่มีต้นไม้ถูกดัดทำบอนไซหลากหลายขนาด สวนลอยฟ้าทึ่เราอยู่จากมุมสูงเห็นเนินเขาเขียวที่ประดับเจดีย์สีทั่งท้องทุ่ง สวนไดโนเสาร์ ที่นี่เป็นที่รวมเหล่าไดโนเสาร์ก็ว่าได้ มีแถบทุกสายพันธุ์วางอยู่ทั่วสวน มีบริเวณสถานที่ให้อาหารสัตว์ตัวเป็นๆให้เด็กได้ทำกิจกรรม และมีคาเฟ่ร้านอาหารให้ผู้ใหญ่ๆอย่างเราอิ่มท้องกันด้วย ระหว่างนั่งรถนำเที่ยวกลับไปยังจุดเริ่มต้น เราเก็บไว้เล่าเป็นย่อหน้าสุดท้าย เพราะเป็นพันธุ์ไม้ที่เราชอบเป็นการส่วนตัวนั้นคือแคคตัส หรือที่บ้านเราเรียกว่ากระบองเพชร เราจะเห็นแคคตัสต้นขนาดใหญ่ที่มีอายุเป็นสิบปีถูกนำมาวางรวมกันให้ดูตื่นเต้นแล้ว รถยังขับผ่านจุดเพาะเลี้ยงและขยายพันธุ์ให้เรานำ้ลายไหล เพราะสายตาที่มองออกไปน้องรถคือเรือนเพาะชำแคคตัสที่กว้างสุดลูกหูลูกตา แบบว่าเราสามารถตายได้เลยตรงนั้น (เว่อไปไหม) แต่มันเป็นอารมณ์ความรู้สึกของคนรักแคคตัสจริงๆนะ และแล้วรถเราก็เดินทางมาจุดสุดท้าย เกือบลืมบอกต้นไม้ที่สำคัญอีกชนิดของที่นี่ นั่นเป็นต้นมะพร้าวสายพันธ์พิเศษ เรียกติดปากว่ามะพร้าวก้นสาว แต่เป็นทางการหน่อยเรียกมะพร้าวทะเล ที่ให้ผลผลิตต่อลูกมูลค่าเกือบแสนบาท สวนต้นก็หลักแสนเลยทีเดียว จะปลูกอยู่ในสวนและมีรั่วล้อมกันอีกที่เพื่อดูแลความปลอดภัยชนิดพิเศษ ดูเหมือนจะเป็นจุดสำคัญสุดๆแล้วเมื่อคุณก้าวขาออกจากประตู ก็จะพบกับร้านของฝาก ที่นี่จะมีร้านค้าที่ขายต้นไม้เล็กๆน่ารักๆให้เก็บเป็นที่ระลึก ว่าครั้งหนึ่ง “คุณคือผู้พิชิตสวนนงนุช(ในหน้าร้อน)“ภาพถ่าย :นัยย์ตา อยากไปเที่ยวไหนหรือเปล่า? หาข้อมูลที่เที่ยวสุดปังได้ที่ App TrueID โหลดเลย ฟรี !