“ถิ่นผู้กล้าผญาผานอง ท่องอุทยานภูคา ผ้าทอไทลื้อ เลื่องลือเครื่องเงิน” จากคำขัญประจำอำเภอปัว จังหวัดน่าน อำเภอปัวตามพงศวดารเมืองน่าน ได้กล่าวถึงว่าเป็นเมืองที่ก่อเริ่มกำเนิดเมืองน่าน ก่อนที่จะย้ายมาตั้งที่ภูเพียงแช่แห้ง และที่เมืองน่านในปัจจุบัน แสดงว่าเมืองปัวก็เป็นเมืองที่เก่าแก่ของเมืองน่านอีกเมืองหนึ่ง เมืองปัวหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเมืองวรนคร มีสถานที่สำคัญเป็นแหล่งท่องเที่ยวหลายแห่งทั้งในด้านธรรมชาติก็มีอุทยานแห่งชาติดอยภูคา น้ำตกศิลาเพชร น้ำตกตาดหลวง ซึ่งเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจสูดอากาศบริสุทธิ์ให้เต็มปอด นอกจากนี้ยังมีวัดเก่าที่เป็นศิลปะหรือสถาปัตยกรรมแบบไทยลื้อ ก็จะมีวัดต้นแหลง วัดร้องแง ที่ยังคงเอกลักษณ์ของชาวไลลื้อเป็นอย่างดี อีกสถานที่หนึ่งซึ่งเป็นสถานที่เล็ก ๆ เป็นทางผ่านสำหรับนักท่องเที่ยวแต่เป็นสถานที่เก่าแก่ อาจจะเป็นแหล่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของเมืองปัวอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งก็คือ พระธาตุลอมหนาม สลีประตูโขง ซึ่งเป็นบริเวณลานกว้างเป็นที่สาธารณะประโยชน์ของชุมชนบ้านร้อง ตำบลปัว จังหวัดน่าน อยู่บนเส้ทาง น่าน - ทุ่งช้าง วัดพระธาตุล้อมหนาม ตั้งอยู่ที่บ้านร้อง ตำบลปัว อำเภอปัว จังหวัดน่าน ตั้งอยู่บนพื้นที่สาธารณะประโยชน์ทางทิศตะวันออกของบ้านร้อง ตามบันทึกเดิมของอำเภอปัวระบุว่ามีพื้นที่ประมาณ 28 ไร่ ล้อมรอบด้วยทุ่งนา ปัจจุบันให้สร้างโรงเรียนบ้านร้อง 11 ไร่ คงเหลือเป็นพื้นที่วัดพระธาตุลอมหนามประมาณ 4 ไร่ วัดพระธาตุลอมหนามเป็นวัดโบราณเก่าแก่ซึ่งปัจจุบันเหลือแต่ซากปรักหักพัง มีเศษซากอิฐกระจายอยู่ทั่วไปบริเวณพื้นที่ วัดมีร่องรอยของฐานโบสถ์วิหารปรากฏเป็นแนวอิฐในผังสี่เหลี่ยมจัตุรัสโดยทั้ง 4 ด้าน มีลักษณะคล้ายกับเพิ่มมุมปรากฏแนวอิฐในผังสี่เหลี่ยมจัตุรัสยื่นออกมาจากแนวหลักทุกมุม มีการพบเศษกองอิฐประกอบด้วยก้อนอิฐรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส และก้อนอิฐรูปวงกลมบางชิ้นมีลวดลายคล้ายลายกนก (แบบท้องถิ่น) ซึ่งคาดว่าเป็นส่วนยอดของพระธาตุลอมหนามที่พังทลายลงมา เพราะพบโลหะที่เป็นยอดฉัตรเจดีย์ในบริเวณนี้ด้วย นอกจากนี้ปรากฏร่องรอยหลักฐานทางทิศตะวันออกของฐานโบสถ์เก่าซึ่งชาวบ้านเรียกว่าประตูโขง มีลักษณะเป็นเนินดินเชื่อมต่อกับต้นโพธิ์ขนาดใหญ่ที่ขึ้นปกคลุมโบราณสถาน อยู่โดยบริเวณโคนของต้นโพธิ์ทางเข้าออกได้ภายในมีก้อนอิฐเรียงซ้อนกันเป็นชั้นขึ้นไปในลักษณะการทำหลังคาซ้อนชั้น สันนิษฐานว่าเป็นประตูทางเข้าออกวัดลอมหนามในอดีตสำหรับสาเหตุที่เรียกว่าวัดลอมหนามนั้น พบจากบันทึกประวัติเมืองน่านว่าในอดีตเจ้ามหาวงศ์ผู้เป็นเจ้าเมืองน่านในอดีตช่วงเวลาพ.ศ.2381 ถึง พ.ศ.2394 ได้ขึ้นมาเมืองปัวเพื่อสักการะวัดลอมหนามดังกล่าว ในการสร้างวัดลอมหนามไม่ปรากฏสร้างขึ้นในสมัยใดแต่จากคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านร้องที่เล่าต่อกันมาว่าเป็นวัดที่ม่าน (พม่า)สร้างขึ้นราวปี พ.ศ.2,247-2,344 ซึ่งยุคสมัยนั้นเมืองน่านได้ตกเป็นเมืองขึ้นของพม่าอยู่หลายครั้ง และต้องเป็นเมืองร้างไร้ผู้คนถึง 2 ครั้ง คือ ครั้งแรกปีพ.ศ.2247 - 2249 และครั้งที่ 2 ปี พ.ศ.2321-2344 วัดจึงถูกทิ้งรกร้างมีต้นไม้ใหญ่และวัชพืชต้นหนามขึ้นปกคลุม ส่วนองค์พระธาตุในวัดพังทลายลงมาเหลือแต่ฐานอยู่ในบริเวณที่รกร้างเป็นป่ามีต้นไม้ใหญ่เถาวัลย์วัชพืชและต้นหนามขึ้นปกคลุมอยู่ทั่วไป เนื่องจากหลักฐานทางโบราณคดีที่พบเป็นประเภทชิ้นส่วนของอิฐและร่องรอยโบราณสถานก็ยังไม่ได้ขุดค้นทางโบราณคดีจึงไม่สามารถกำหนดอายุได้อย่างชัดเจน สมควรศึกษาหาข้อมูลหลักฐานต่อไปต่อมาในปี พ.ศ.2518 ได้มีการสร้างถนนสายยุทธศาสตร์เลียบชายแดนจากจังหวัดน่านถึงชายแดนห้วยโก๋น เพื่อปราบปรามผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์โดยบริษัทอิตาเลียน-ไทยเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างได้นำรถแทรกเตอร์ขุดดินบริเวณวัดพระธาตุลอมหนาม ไปสร้างถนนสายยุทธศาสตร์ทำให้ตัวเององค์พระธาตุสูญหายไปเหลือแต่เศษอิฐดังเช่นที่พบในปัจจุบัน และเมื่อปี พ.ศ.2525-2526 ประชาชนบ้านร้องได้ช่วยกันพัฒนาปรับพื้นที่ปลูกต้นสักเป็นป่าชุมชนและขึ้นทะเบียนเป็นที่สาธารณประโยชน์และเลี้ยงสัตว์ของหมู่บ้านต่อมาเมื่อ พ.ศ.2558 ประชาชนบ้านร้องได้ช่วยกันสร้างพระเจ้าทันใจเพื่อใช้เป็นสถานที่บูชาบวงสรวงและตานไม้ค้ำสลีในเทศกาลวันสงกรานต์ของทุกปีจนถึงปัจจุบัน ต่อมาสำนักนโยบายและแผนการขนส่งและจราจรกระทรวงคมนาคมร่วมกับประชาชนบ้านร้องและคนทั่วไป ดำเนินการสร้างพระบรมธาตุล้อมหนามองค์ใหม่ขึ้นมาบริเวณทิศตะวันออกเฉียงใต้ของโบราณสถานองค์พระธาตุเดิม โดยองค์พระธาตุที่สร้างขึ้นใหม่ได้มีการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้จึงได้ชื่อว่า "พระบรมธาตุเจดีหนาม" วัดพระธาตุลอมหนาม สลีประตูโขง เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ อยู่ไม่ไกลจากอำเภอปัวมากนัก และเป็นทางผ่านสำหรับไปอำเภอเชียงกลาง อำเภอทุ่งช้าง อำเภอเฉลิมพระเกียรติ และจุดผ่านแดนไทยลาวห้วยโก๋น ใครผ่านมาเส้นทางนี้สามารถแวะผักผ่อนชมสถานที่ที่เป็นประวัติศาสตร์ของชาวบ้านร้องได้