เดือนกรกฎาคม ปี 2556 กว่า 7 ปีมาแล้ว (ปีนี้ 2563) เรากับเพื่อนรวม 3 คน นัดแนะกันไปเที่ยวภูชี้ฟ้า จ.เชียงราย ในเมื่อเป็นต้นฤดูฝน ก็ต้องมีเม็ดฝนนิด ๆ หมอกหน่อย ๆ ฟ้าสดใสเป็นบางช่วง พวกเราถือว่าเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ ที่อยู่ในความทรงจำของพวกเรากันเลยทีเดียว ... ไปค่ะ ออกเดินทางกันเลย!! เพื่อนเราออกเดินทางจากลำพูน มารับเราที่ลำปาง และรับเพื่อนอีกคนที่พะเยา ปลายทางคือเชียงราย เมื่อสมาชิกครบ พวกเราก็ออกเดินทางต่อกันทันที เพราะสายมากแล้วด้วย ที่แยกแม่ต๋ำ จะมีป้ายทางหลวงบอกเอาไว้ พวกเราก็เลี้ยวไปตามนั้นเลย โดยใช้ทางหลวงหมายเลข 1021 ผ่านน้ำตกภูซางในทางหลวงหมายเลข 1093 และก็ขับรถตามป้ายไปเรื่อย ๆ เพื่อเดินทางขึ้นไปสู่ภูชี้ฟ้าอีกที ในปัจจุบันเส้นทางนี้ก็ยังคงใช้เดินทางได้เหมือนเดิม และอยากบอกว่าเป็นอีกหนึ่งเส้นทางที่สวยงามมาก พวกเราไม่ได้รีบ เพราะไม่ได้มีโปรแกรมพิเศษอะไร ดังนั้นจึงแวะไปเรื่อย ๆ พอเริ่มขับรถขึ้นที่สูง ก็เริ่มเห็นข้างล่างชัดเจนมากขึ้น แถมวิวยังสวยซะด้วยสิ!! ช่วงนี้ไม่ค่อยมีรถรามากเท่าไหร่ เพื่อนเราเลยแอบรถข้างทาง จากนั้นก็พากันวิ่งเล่นเก็บภาพกันพักใหญ่ นี่แหละ!! ข้อดีของการมาเที่ยวในช่วงโลว์ซีซั่น ทำให้เรามีเวลามากพอ ในการซึมซับเรื่องราวระหว่างทาง แต่หากเป็นช่วงไฮซีซั่น การจอดรถข้างทางแบบนี้ย่อมเป็นไปได้ยาก แถมอันตรายมากด้วย เพราะถนนมีเพียง 2 เลนขับสวนกันเท่านั้น พวกเรามาถึงที่พักในเวลา 17.30 น. และไม่ได้จองอะไรเลยสักอย่าง เพราะเชื่อว่ายังไงก็ต้องมีที่พักแน่นอน ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เมื่อ 7 ปีที่แล้ว เราได้พัก 1 ห้อง สำหรับ 3 คน ในราคา 300 บาทถ้วน จำชื่อคุณป้าที่กรุณาให้ที่พักบนภูชี้ฟ้าราคาแสนถูกไม่ได้แล้วด้วย ถือโอกาสขอบคุณมา ณ ที่นี้เลยนะคะ และในภาพนี้ เรายืนถ่ายภาพจากหน้าห้องพัก ได้ความสูงดีเยี่ยมเลยทีเดียว เรามีโอกาสคุยกับคุณป้าเล็กน้อยได้ความมาว่า ตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคมไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ นักท่องเที่ยวจะเต็มทุกวัน คิดเป็น 90% ห้องพักที่พวกเราพักกันนี้มีราคาที่ 1,000-1,200 บาท/คืน และคุณป้าเห็นว่าพวกเรามากัน 3 คนผู้หญิง และเป็นคนเหนือเหมือนกัน ท่านเลยเมตตาให้ราคาพิเศษมา พระอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้าแล้ว ก็เท่ากับได้เวลาข้าวเย็นพอดี อ้อ!! เราห่อข้าวมาด้วย แกะกินกันระหว่างทางแล้วก็ยังเหลือ เลยมาต่อที่มื้อเย็นอีกรอบ แต่หากไม่มีเสบียง ที่ด้านล่างก็มีร้านค้าชุมชนให้เราได้อิ่มท้องด้วยเหมือนกัน เอาเป็นว่าใครสะดวกแบบไหนก็ได้ทั้งนั้น เนื่องจากเย็นย่ำแล้ว พวกเราจึงไม่อยากไปเล่นกันที่อื่นที่ไกล ก็เล่นกันแถวหน้าห้องนี่เลย นั่งดูพระอาทิตย์ตกดินคาตากันเลยทีเดียว เราเอาเลนส์ซูมมาด้วย ก็เลยซูมภาพทิวเขามาได้ และเราก็ได้เห็นเส้นทางที่เราเดินทางผ่านมาอีกครั้ง ในเวลาที่เราได้มายืนในจุดที่สูงยิ่งกว่า เรายังคุยกับเพื่อนว่า พวกเราตัวใหญ่กว่าไปเลยเนอะ!! … ไม่นานนัก พระอาทิตย์ก็ย้ายตัวเองไปอีกฝั่งของโลก ทิ้งแสงสุดท้ายอันร้อนแรงเอาไว้ให้พวกเราเก็บภาพ ขณะที่อากาศเริ่มเย็นลงไปเรื่อย ๆ ... อึดใจเดียว ทุกอย่างก็เหลือเพียงความทรงจำผ่านภาพถ่าย ให้เราได้คิดถึง ทุกครั้งที่เปิดมันขึ้นมา เช้าแล้วๆ!!... ต่างคนต่างเรียกกันตื่น เพื่อที่จะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ยอดภูชี้ฟ้า ... แต่ๆๆๆ สิ่งที่ได้มาคือ “หมอก-หนา-ทึบ” ทีแรกก็มองหน้ากันไปมา ถามกันว่าเอาไงดี จะไปไม่ไป เพราะจากป้ายที่เห็นตรงนี้ ก็อีกแค่นิดเดียวจะถึงยอดภูแล้ว ที่ต้องถามกัน เพราะเริ่มมีเม็ดฝนบาง ๆ มาประปราย แล้วเผอิญว่ามีคนมาเที่ยวอีก 2-3 คน พวกเราก็เลยเดินตาม ๆ กันไปแบบนั้นนั่นแหละ ไหน ๆ ก็มาแล้ว ก็ต้องไปต่อให้สุด!! พวกเราแซวเล่นกันว่า หากเป็นช่วงฤดูหนาวที่นักท่องเที่ยวมากันเยอะ ๆ คงจะมีเพื่อนเดินขึ้นไปที่ยอดภูชี้ฟ้า 1 กองคาราวานแน่ ๆ... อ้อ!! คุณป้าบอกว่า ช่วงปลายปีที่คนเยอะ ๆ จะหาที่จอดรถยากมาก ซึ่งเราเห็นด้วย เพราะลานจอดรถด้านล่าง ก็ไม่ได้กว้างมากนัก พวกเราเดินฝ่าฝนเม็ดเล็กและหมอกหนา มาถึงยอดภูชี้ฟ้าจนได้ ที่เค้าบอกว่าจะเห็นฝั่งลาว เห็นภูเขาสลับซับซ้อน ทะเลหมอก โน่น นี่ นั่น ... ก็อย่างที่เห็นในภาพละฮะ!! ขาวโพลนไปด้วยหมอกล้วน ๆ ไม่ต้องแย่งกันถ่ายภาพกับใคร เพราะใครเค้าไม่มากัน มีแต่พวกเรากับอีกกลุ่ม รวมกันไม่เกิน 6 คนเห็นจะได้ ก็ยืนดูหมอกกันพักใหญ่อยู่นา... หากจะถามว่าอันตรายไหม? บอกเลยว่า “ไม่” แต่ช่วงเวลาโลว์ซีซั่นแบบนี้ ก็ไม่ควรมาคนเดียวอะเนอะ แต่หากจะเปรียบเทียบในช่วงเวลาของการท่องเที่ยว จุดนี้ถือได้ว่าเป็นไฮไลท์กันเลยทีเดียว ผู้คนจะหนาตากันตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง เพราะทุกคนรอคอยสิ่งเดียวกัน ก็คือแสงแรกของวัน ทะเลหมอก และการปะทะของสายลมอันเหน็บหนาว เรื่องภาพถ่ายไม่ต้องพูดถึง แม้ว่าจะมาคนเดียว แต่การจะได้ภาพเดี่ยวคงต้องรอโอกาสเหมาะ ๆ ดี ๆ กันพักใหญ่เลยล่ะ โดยเฉพาะตรงป้ายไม้สีน้ำตาลเล็ก ๆ ซึ่งวันนี้เป็นพื้นที่ของข้าพเจ้าและผองเพื่อนไปแล้ว พักเดียวเราก็พากันเดินลงมา แต่เก็บภาพมาเรื่อย ๆ หลายคนอาจมองว่าโชคไม่ดี ที่ไม่ได้ชมแสงแรกที่ภูชี้ฟ้า แต่การได้ถ่ายภาพท่ามกลางสายหมอก และฝนเม็ดเล็ก ๆ แบบนี้ น้อยครั้งที่จะมีโอกาสเหมือนกันนะ ดังนั้นเราจึงมองว่า มันเป็นประสบการณ์ชีวิตมากกว่า ที่ด้านล่างในเวลานี้มีชาวเขามาตั้งร้านขายของกินอยู่ 1-2 ร้าน ซึ่งก็หมายความว่า ยังพอมีนักท่องเที่ยวมาเดินชมวิวกันอยู่บ้าง หากเป็นช่วงไฮซีซั่น คงไม่ต้องพูดถึง พวกเราคงได้นั่งกินโจ๊กอร่อย ๆ ท่ามกลางอากาศเย็นเฉียบเป็นแน่แท้ หากเพื่อน ๆ มีโอกาส ลองออกมาเที่ยวช่วงโลว์ชีซั่นดูสิ!! บางทีอาจได้พบเจอบรรยากาศใหม่ ๆ เหมือนเรา 3 คนก็ได้นะ แต่หากชอบบรรยากาศที่คนเยอะ ๆ ก็ต้องมาในช่วงฤดูหนาว ยังไงก็อย่าลืมจองที่พักกันไว้ด้วยนะ เพราะนักท่องเที่ยวจะเยอะเป็นปกติ ขึ้นชื่อว่า "ภูชี้ฟ้า" รับรองได้ว่านักท่องเที่ยวต้องล้นหลามไม่แพ้ที่ไหน ๆ ในภาคเหนืออย่างแน่นอน