ปีนังเมืองนี้สวยทุกมุม ทริปนี้เราตั้งใจจะมาลุยตามหาภาพ Street Art ที่เมือง George Town ซึ่งทางองค์กร UNESCO ได้เลือกให้เป็นเมืองมรดกโลกเมื่อปี 2008 เพราะมีความหลากหลายทางวัฒนธรรมผสมผสานกัน ทริปนี้เราต้องใช้พลังขาในการเดินทั้งวัน การเดินเท่านั้นถึงจะเข้าถึงทุกซอกทุกมุม และหัวใจหลักที่ขาดไม่ได้เลยของทริปนี้คือแผนที่ค่ะ สามารถขอได้จากทางโรงแรมที่เราพักเลยค่ะ สำคัญมากจริง ๆ ถ้าอยากตามถ่ายรูป Street Art สวย ๆ ให้ครบ เริ่มต้นมื้อเช้าเราเติมพลังกันที่ตลาดสดข้าง ๆ ที่พัก อยู่ใกล้กับถนน Chulia Street เป็นตลาดสดที่ไม่ใหญ่มากแต่มีสินค้าขายครบทั้งอาหาร ขนม ของสดและของแห้ง มื้อเช้าวันนี้เราจะกินอาหารถิ่นอย่างนาซีเลอมัก (Nasi Lemak) เมนูนี้เค้าจะนำข้าวไปหุงกับกะทิให้สุก แล้วทานกับแตงกวา ไข่ต้ม ถั่วลิสงและซัมบัล ซึ่งซัมบัลรสชาติคล้าย ๆ พริกแกง เวลาทานเมนูนี้มักจะทานพร้อมกับไก่ทอด ราคาไม่แพงประมาณ 50 บาท ถ้าจะกินแล้วให้ได้อารมณ์อาหารมาเลเซียต้องใช้มือเปิบเอานะ รสชาติใกล้เคียงกับอาหารไทย มื้อนี้อร่อยถูกใจสายเครื่องเทศอย่างเรามาก มาเดินเล่นตามตลาดสดที่นี่ สังเกตเห็นสินค้าที่ขายส่วนใหญ่ที่วางขาย ลักษณะคล้ายกับที่ขายในเมืองไทย และราคาก็ไม่ต่างกันมาก อาหารบางเมนูเรียกได้ว่าเหมือนที่ไทยมาก ๆ เช่นข้าวหมูกรอบ ข้าวหน้าไก่ อารมณ์พ่อค้าแม่ค้าตลาดสดของที่นี่ก็มีความคล้ายคลึงกับที่ไทยมาก ๆ ส่งเสียงเรียกลูกค้าตลอดเวลา แถมมีรอยยิ้มให้นักท่องเที่ยวตลอด เห็นเราเป็นนักท่องเที่ยวแวะมาซื้ออาหารก็ชวนให้ลองชิมนู้นนี่นั่นเต็มไปหมด ซื้อแล้วยังแถมให้อีก มาเดินตลาดสดแบบนี้เราถูกใจกว่าไปเดินห้างซะอีก หลังจากอิ่มมื้อเช้าแล้ว เราจะเริ่มต้นเดินตามหาภาพ Street Art ในเมือง George Town ซึ่งจะมีภาพ Street Art ดัง ๆ หลายภาพมาก เช่น Brother and Sister on the swing, Love Me Like Your Fortune และ The old motorcycle เป็นต้น ย้ำอีกครั้งว่าควรมีแผนที่ George Town ไว้ตามหาภาพ Street Art เพราะบางภาพอยู่ในซอยย่อย ๆ ต้องสังเกตดี ๆ และบางภาพสีค่อนข้างจะซีดจางไปตามกาลเวลา นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวมีทั้งชาวไทย มาเลย์ จีนและฝรั่ง บรรยากาศ ค่อนข้างที่จะมีคนพลุกพล่าน และอากาศร้อนมาก ๆ เดินถ่ายรูปไปมาร้อนเลยได้ลองชิมน้ำแข็งไสสไตล์ปีนังมาช่วยดับร้อนแถมเอามาถ่ายรูปได้เก๋ ๆ ด้วย รูปทรงตึกรามบ้านช่องที่ปีนังคล้ายกับตึกสไตล์ชิโนโปรตุกีสที่ภูเก็ต เดินตามหาภาพ Street Art ไปเรื่อยจนถึงเที่ยง มื้อกลางวันนี้จะไปลองอาหารอินเดียกันจ้า มื้อนี้พิเศษหน่อยเครื่องเทศจัดเต็มตามสไตล์อาหารอินเดีย ต้องใช้มือหยิบกินแต่ได้อารมณ์มาก ไก่ทันดูรี (Chicken Tandoori) หอมฟุ้งทานกับแป้งนาน (Naan) เนื้อนุ่ม ๆ มีเนย ซอสสะระแหน่และหอมแดงคล้ายน้ำจิ้มอาจาดด้วย เข้ากันมาก ๆ รสชาติเครื่องเทศจัดเต็ม มื้อนี้ถูกใจเราสุด ๆ เติมพลังงานเสร็จแล้วเราก็มุ่งหน้าตามหาภาพ Street Art ที่เหลือ ภาพบางอยู่ตามซอกตามมุมหายากก็ต้องสังเกตจากจุดที่นักท่องเที่ยวคนอื่น ๆ แวะถ่ายรูปหรือมีนักท่องเที่ยวเดินเข้าออกเยอะ ๆ แทน ยิ่งตกบ่ายอากาศยิ่งร้อนขึ้นกว่าเดิม ต้องหาที่หลบร้อนเพราะอากาศที่นี่ร้อนและแดดแรงยิ่งกว่าที่ไทยอีก ช่วงบ่ายเลยมาพักร้อนที่ร้านกาแฟ Coffee On The Table เป็นร้านที่เราอ่านเจอจากรีวิวในพันทิปเลยมาตามรอย เพราะร้านนี้เค้าจะทำฟองนมให้เป็นรูป 3 มิติ สั่งกาแฟพร้อมขนมมา 1 เซ็ต ราคาแรงใช้ได้เลยประมาณเป็นเงินไทย 180 บาท ยิ่งถ้าสั่งเป็นเครื่องดื่มแยกก็ตกแก้วละ 140 บาท กาแฟ 3 มิติ รูปหมีน่ารักสุด ๆ กาแฟชาติดี ฟองนมนุ่ม ขนมเครปเค้กก็รสชาติดีใช้ได้ พักร่างได้ 1 ชั่วโมงเราก็ไปลุยถ่ายรูปกันต่อ ทริปนี้ต้องเอาให้คุ้ม หลังจากใช้พลังงานทั้งวันไปเยอะมาก มื้อเย็นเราเลยมาชิมอาหารจีนกันบ้าง ร้าน Teksen Restaurant ร้านนี้คงเป็นขวัญใจของนักท่องเที่ยว คิวยาวมากรอเกินครึ่งชั่วโมงกว่าจะได้โต๊ะ แต่รออาหารไม่นาน รสชาติอาหารมีความคล้ายอาหารปักษ์ใต้บ้านเราผสมอาหารจีน อย่างเมนูหมูหวานมีใส่พริกด้วย ผักบุงก็ใส่ผัดกะปิ ที่ออกจีนเลยคือเต้าหู้ผัดพริกเสฉวน ส่วนข้าวผัดลูกชิ้นปลาหอมกลิ่นกะทะมาก ๆ มาเที่ยวปีนังโชคดีได้กินแต่ของอร่อย อาจเพราะวัฒนธรรมที่คล้ายกัน หลาย ๆ เมนูเลยคุ้นลิ้น ได้ทั้งกินได้ทั้งเที่ยวทริปเดียวคุ้ม วันนี้หมดแรงกับการตามหาภาพ Street Art แต่สุขใจมาก ๆ ที่ได้ทำภาระกิจสำเร็จสักที ถ้ามีโอกาสได้มาปีนังอีกครั้ง เราจะไปทุกซอกทุกมุมให้มากกว่านี้ หลาย ๆ ที่อยากไปแต่หมดเวลาซะก่อนทั้งพิพิธภัณฑ์และตึกเก่าโบราณอีกหลายจุด สักวันคงได้มีโอกาสมาเยือนปีนังอีกแน่ ๆ เพราะเราหลงเสน่ห์เมืองนี้มาก ๆ ถ้าใครสนใจอยากเรียนรู้วัฒนธรรมที่ใกล้เคียงและคล้ายคลึงกับไทย แล้วไม่อยากใช้งบเยอะแนะนำให้มาเที่ยวเมืองปีนังดูค่ะ มาง่ายเที่ยวง่ายและมีมนต์เสน่ห์มาก ภาพประกอบโดยผู้เขียน