สวัสดีครับนักเที่ยวสายบุญทั้งหลายวันนี้ผู้เขียนมีเรื่องวัด ๆ มานำเสนออีกแล้วครับท่าน...วัดที่ว่านี้เป็นวัดที่เงียบสงบ ร่มรื่น ร่มเย็นโดยเมื่อก้าวเข้ามาแล้วรู้สึกได้ถึงความงดงามแห่งศรัทธา และธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้แสดง และถ่ายทอดมาแล้วเป็นเวลากว่า 2,500 ปี แต่ก็ไม่ได้เสื่อมคลายไปเลยแม้แต่น้อย มาดูกันครับว่าวัดที่ว่านี้อยู่ที่ไหน วัดที่ว่านี้คือ วัดพรหมจริยาวาส ตั้งอยู่ที่ หมู่ที่ 4 ตำบลแม่งอน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ครับการเดินทางสะดวกสบายโดยไม่ไกลจากถนนสายหลัก (เชียงใหม่-ฝาง 107) มาดูกันครับว่าวัดแห่งนี้ผู้เขียนมีอะไรมานำเสนอบ้าง จุดที่หนึ่ง ครับเมื่อท่านผ่านซุ้มประตูวัดเข้ามาจะพบกับประตูเข้าวัดอีกชั้นหนึ่งโดยจะมีกุมภัณฑ์สองตน (น่าจะเป็นท้าวเวสสุวรรณ) ยืนเด่นตระหง่านหน้าตาขึงดุดัน น่ากลัวถือกระบองอยู่สองฝั่งประตูซ้าย-ขวาเมื่อผ่านจุดนี้เข้ามาท่านจะพบกับพระวิหารซึ่งใช้เป็นที่ประกอบศาสนกิจของพระภิกษุ-สามเณร พุทธศาสนิกชนในเทศกาลงานบุญต่าง ๆ จากลักษณะที่ผู้เขียนคะเนด้วยความรู้สึก และสายตาน่าจะมีอายุไม่ต่ำกว่า 60-80 ปี ขึ้นไปเพราะดูแล้วเก่ามาก และด้านหน้าพระวิหารจะมีพญานาคสองตนตัวยาวสีเขียวเฝ้าอยู่บันไดทางขึ้นซ้าย-ขวา พระวิหารนี้หากนักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชมท่านสามารถขึ้นไปกราบพระประธานบนพระวิหารได้เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตัวท่าน และครอบครัว จุดที่สอง ด้านข้างพระวิหารจะมีพระสังกัจจายน์จีนองค์สีชมพูตั้งประดิษฐานอยู่โดยความเชื่อของพุทธศาสนิกชนเชื่อว่าใครที่สักการะขอพรจากพระสังกัจจายน์นี้จะไม่เจ็บ ไม่จน จะมีแต่ความร่ำรวย (องค์ที่ผู้เขียนนำเสนอนี้เป็นพระสังกัจจายน์ที่มีรูปแบบเป็นของจีน มีพุทธลักษณะจะเป็นแบบมหายาน) คืออย่างนี้ครับในพระพุทธศาสนาเราจะมีนิกายใหญ่ ๆ อยู่สองนิกาย คือ มหายาน และเถรวาท (ผู้เขียนเคยนำเสนอไปในบทความก่อนหน้านี้แล้ว) เอาเป็นว่าสังเกตง่าย ๆ คือ ถ้าวัดใดมีเจ้าแม่กวนอิม มีพระสังกัจจายน์จีน มีพระโพธิสัตว์...ฟันธง...ได้เลยว่าเป็นพุทธศาสนาฝ่ายนิกายมหายาน มาแล้วอย่าลืมกราบขอพรด้วยนะครับ จุดที่สาม รูปปั้นเจ้าชายน้อยหรือบางที่เรียกพระพุทธเจ้าน้อย (รูปเจ้าชายสิทธัตถะตอนประสูติ) หลายท่านอาจจะเคยเห็นตามวัดต่าง ๆ ผู้เขียนเชื่อว่าหลายท่านอาจสงสัยว่ารูปเจ้าชายน้อยที่มือหนึ่งชี้ขึ้นฟ้า อีกมือหนึ่งชี้ลงดินมีความหมายว่าอย่างไร อย่างนี้ครับผู้เขียนจะอธิบายให้ฟังรูปปั้นที่ว่านี้เป็นรูปปั้นของเจ้าชายสิทธัตถะตอนประสูติแล้วเดินได้เจ็ดก้าวโดยมีดอกบัวรองรับพระบาทเจ็ดดอก และเอ่ยวาจาที่เรียกว่า "อาสภิวาจา" ว่า “ เราเป็นผู้เลิศแห่งโลกเราเป็นผู้ใหญ่แห่งโลก เราเป็นผู้ประเสริฐสุดแห่งโลก ชาตินี้เป็นที่สุด บัดนี้ภพใหม่เป็นไม่มีอีกละ ” และด้านข้างจะมีรูปปั้นพระสีวลีประดิษฐานองค์สีทองโดยพุทธศาสนิกชนจะมีความเชื่อว่าพระสีวลีเป็นพระอรหันต์แห่งโชคลาภ ไปที่ใดมีแต่ความแคล้วคลาดปลอดภัย มีแต่โชคลาภมาแล้วอย่าลืมนำดอกไม้มากราบสักการะขอพรเพิ่มพลังบุญด้วยนะครับ จุดที่สี่ ด้านข้างพระวิหารจะมีพระเจดีย์ทรงสี่เหลี่ยม (มีลักษณะเป็นโขง (เหมือนซุ้มประตู) ด้านบนจะมียอดสีทองปลายมียอดฉัตรประดับตกแต่งสวยงามมาก (ผู้เขียนว่าแปลกดีไม่ค่อยได้เห็นที่ใด) ด้านหน้ามีบันไดขึ้นโดยมีเทวดาสององค์ (เทพพนม) นั่งเฝ้าบันไดทางขึ้นที่เป็นจุดเด่นที่สุดคือโดยรอบพระเจดีย์จะมีพระธาตุ และเจดีย์ 12 นักษัตรองค์จำลองประดิษฐานโดยรอบพระเจดีย์สวยงามมาก แนะนำเลยครับมาถึงแล้วสามารถเข้าไปกราบขอพรพระเจดีย์ประจำปีนักษัตรของตนเองได้โดยไม่ต้องไปให้ถึงสถานที่จริง ผู้เขียนรับรองเลยมาแล้วอิ่มบุญ อิ่มใจ และมีความสุขความเป็นสิริมงคลกลับไปอย่างแน่นอน อย่าลืมนะครับหากมีโอกาสเดินทางผ่านมาทางอำเภอฝาง “วัดพรหมจริยาวาส” เป็นอีกวัดหนึ่งที่หากท่านพลาดแล้วจะต้องพบกับคำว่า...เสียดายจริง ๆ สำหรับวันนี้เท่านี้ก่อนนะครับขอตัวไปกราบพระก่อน....ธรรมะสวัสดีครับ เครดิตภาพทั้งหมดจากผู้เขียน (ดร.อาบแสงจันทร์ ต.)