สวัสดีครับ เราคือนักเขียนมือใหม่ที่กำลังเริ่มต้นเดินทางในโลกของการเขียน และตอนนี้อาศัยอยู่ในประเทศเยอรมันครับ การเขียนเป็นสิ่งที่ผมหลงใหลและมีความตั้งใจที่จะใช้มันเป็นช่องทางในการแบ่งปันประสบการณ์และความคิดต่างๆ กับผู้อ่าน เราชอบการเดินทางมาก โดยเฉพาะการเที่ยวในยุโรปที่เต็มไปด้วยความหลากหลายทั้งในด้านวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และธรรมชาติที่สวยงาม หวังว่าเนื้อหาที่เราเขียนจะสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนออกไปสำรวจโลกใหม่ๆ ด้วยตัวเองครับ เวนิส – แค่ได้ก้าวแรก ใจก็ล่องตามน้ำไปแล้ว พอเท้าเหยียบเวนิส ความรู้สึกแรกคือ...เหมือนโดนดูดเข้าไปในเมืองที่มีแต่ความฝัน เราเดินออกจากสถานีรถไฟ เห็นคลองใหญ่อยู่ตรงหน้า มีเรือวิ่งผ่านไปมาช้าๆ กับเสียงคลื่นเบาๆ ที่กระทบตลิ่ง คือมันสงบแต่ตื่นเต้นในเวลาเดียวกัน เปิดวันด้วยกาแฟอิตาเลียนร้อนๆ ที่ร้านข้างทาง แล้วก็เริ่มเดินสำรวจอย่างไม่มีแผน ฟีลแบบปล่อยให้เมืองพาเราไปเอง เดินช้าๆ แต่ใจวิ่งเร็ว เพราะทุกอย่างมันว้าวมาก ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็คือมีแต่ความยูนีค ซอยแคบๆ ที่เชื่อมต่อกันด้วยสะพานเล็กๆ แถมแต่ละมุมยังซ่อนอะไรให้เซอร์ไพรส์ตลอด เดินแป๊บเดียวก็ถึงจัตุรัสซานมาร์โก คนเยอะจริง แต่บรรยากาศคือได้มาก วิหารลวดลายอลังแบบไม่ต้องใส่ฟิลเตอร์ บวกกับหอคอยสูงที่มองลงมาเห็นทั้งเมืองลอยอยู่บนผืนน้ำ คือพูดเลยว่าต้องขึ้นไปดูด้วยตาตัวเอง บ่ายนี้ขอหลงทางแบบไม่ตั้งใจ เพราะเวนิสมันชวนให้หลงจริงๆ เราเลือกเดินแบบไม่ดูแผนที่ แล้วกลายเป็นว่าได้เจอมุมที่ไม่เคยเห็นในรูปรีวิวมาก่อน ทั้งร้านขายของทำมือเล็กๆ ร้านหน้ากากที่เจ้าของใจดีให้ลองใส่ฟรี หรือสะพานหินเงียบๆ ที่มีนักดนตรีเปิดหมวก ทุกอย่างมันลงตัวแบบพอดีโดยไม่ต้องพยายามเลย จัตุรัสซานมาร์โก – ใจกลางเวนิสที่มีชีวิตตลอดวัน ที่นี่คือหัวใจของเมืองเวนิสจริงๆ ไม่ว่าเช้าสายบ่ายเย็นก็เต็มไปด้วยชีวิต ผู้คนเดินผ่านไปมา นักดนตรีเล่นสดนุ่มๆ คาเฟ่ตั้งโต๊ะนั่งกลางลานให้ดูวิวแบบจัดเต็ม รอบๆ จัตุรัสมีทั้งวิหารซานมาร์โกสุดอลัง หอระฆังสูงที่มองเห็นวิวทั่วเมือง และพิพิธภัณฑ์เก่าแก่ คือแค่นั่งพักมุมไหนก็รู้สึกเหมือนอยู่ในฉากภาพยนตร์ยุโรปดีๆ เรื่องหนึ่งเลยล่ะ แล้วก็อย่าแปลกใจถ้ามีนกพิราบบินมาเกาะแขนหรือไหล่ เพราะที่นี่เขาขึ้นชื่อเรื่องนกพิราบขี้เล่น ที่เป็นทั้งเจ้าถิ่นและขวัญใจนักท่องเที่ยว สะพานแห่งเสียงถอนใจ – สวยแต่เศร้าเบาๆ เดินมาไม่ไกลจากจัตุรัสซานมาร์โก เราก็เจอ “Bridge of Sighs” หรือสะพานแห่งเสียงถอนใจที่มีชื่อเสียงมาก ตัวสะพานสีขาวที่เชื่อมระหว่างพระราชวังกับคุกเก่า ดูภายนอกอาจโรแมนติก แต่เบื้องหลังคือความเศร้า เพราะนักโทษจะได้มองเวนิสเป็นครั้งสุดท้ายตรงจุดนี้ก่อนเข้าไปในคุก เลยได้ชื่อว่าสะพานแห่งเสียงถอนใจ ถึงจะมีเรื่องราวหม่นๆ แต่ก็สวยจนคนแถวนั้นหยุดถ่ายรูปกันแทบทุกคน หน้ากากเวนิส – ศิลปะที่ใส่ได้ เดินเล่นในเวนิสทีไร เรามักจะสะดุดตากับหน้ากากหลากสีที่วางเรียงกันเต็มร้าน ทั้งแบบหรูหรา ลึกลับ หรือแฟนตาซีสุดๆ ซึ่งไม่ได้มีไว้แค่เป็นของฝาก แต่คือสัญลักษณ์ของเทศกาล Carnival อันโด่งดังของเมืองนี้ แต่ละชิ้นทำมือด้วยความประณีต บางร้านเปิดให้ลองใส่เล่นด้วยนะ บอกเลยว่าใส่แล้วเหมือนหลุดไปอยู่ในหนังย้อนยุค แค่ยืนดูหน้ากากเฉยๆ ก็รู้สึกเหมือนกำลังชมงานศิลปะกลางเมืองน้ำเลยล่ะ ปิดวันด้วยเรือและแสงสุดท้ายของวัน เย็นๆ เราขึ้นเรือ Vaporetto นั่งชมคลองใหญ่ พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า ท้องฟ้าไล่สีจากทองเป็นชมพู น้ำสะท้อนแสงระยิบระยับ โรแมนติกจนเผลอเงียบไปเองโดยไม่รู้ตัว เวนิสหนึ่งวันอาจสั้น แต่ความรู้สึกที่ได้กลับมายาวนานกว่าเยอะ เหมือนได้ชาร์จใจแบบเต็มๆ ก่อนกลับไปลุยชีวิตจริงอีกครั้ง ทิ้งท้ายก่อนบ๊ายบายเวนิส เวนิสเป็นเมืองที่ใช้ “ขา” มากกว่า “พาหนะ” เพราะตรอกเยอะ เรือก็มีรอบจำกัด แนะนำให้ใส่รองเท้าดีๆ เดินสบายไว้ก่อนเลย น้ำดื่มซื้อจากซูเปอร์จะถูกกว่าร้านข้างทางเยอะ และถ้าอยากประหยัดค่าเรือ ลองซื้อตั๋ววันแบบเหมาจ่ายจะคุ้มกว่า เหลือเวลาแวะเกาะ Murano หรือ Burano ได้ด้วย ที่สำคัญ – เมืองนี้ไม่มีรถยนต์ เพราะงั้นแค่เดินช้าๆ แล้วปล่อยให้เวนิสพาใจเราไหลไปเอง แค่นี้ก็ฟินสุดแล้ว รูปภาพประกอบทั้งหมดถ่ายโดนผู้เขียน อยากไปเที่ยวไหนหรือเปล่า? หาข้อมูลที่เที่ยวสุดปังได้ที่ App TrueID โหลดเลย ฟรี !