สิ่งที่ได้รับการยืนยันจากองค์การยูเนสโก้ให้เป็นมรดกโลก เชื่อว่าต้องเป็นสถานที่ที่มีความงดงามวิจิตรอย่างแน่นอน สถานที่แรกที่ได้ไปที่เป็นมรดกโลก คือปราสาทนครวัด สถานที่แห่งที่สองคือปราสาทเขาพระวิหาร สถานที่ที่จะกล่าวถึงเป็นสถานที่แห่งที่สามที่ได้รับการยืนยันว่าเป็นมรดกโลก แต่ยังไม่ค่อยมีคนรู้จักและมาเที่ยวกันมากนัก อาจจะเพราะอยู่กลางป่าใหญ่ ซึ่งผู้เขียนเองก็เพิ่งรู้จักก่อนที่จะเดินทาง และไม่ได้ศึกษามาก่อน เพราะยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักมากนัก แม้คนรุ่นใหม่ในกัมพูชาก็ยังไม่เคยไปสถานที่แห่งนี้ ปราสาทสมโบร์ไพรกุก อยู่ที่จังหวัดกัมปงทมประเทศกัมพูชา สวนป่าใหญ่ สถานที่แห่งนี้ไกด์ของเราได้ให้ความรู้มาว่า เป็นสถานที่ที่เกิดก่อนนครวัด มีอายุยาวนานหลายยุคหลายสมัย อาณาจักรอิศานปุระหรืออาณาจักรเจนละเป็นอาณาจักรของขอมที่มีความเจริญรุ่งเรืองมากที่สุดในสมัยนั้น ดูจากการก่อสร้างถ้าเรานึกย้อนไปเมื่อสองร้อยปีที่แล้วปราสาทเหล่านี้น่าจะยังคงสวยงาม ขนาดผ่านการบูรณะแล้วสภาพก็มีแตกหักบ้าง ยังคงสมบูรณ์ ประมาณราวศตวรรษที่ 7 ไปจนถึงศตวรรษที่ 8 ปราสาทนี้เคยเป็นสถานที่สำคัญ ด้านหน้าทางเข้านั้นจะเป็นป่าล้อมรอบ และในบริเวณของปราสาทเองก็อยู่กลางป่า แม้ว่าระหว่างทางอาจจะเห็นร่องรอยของสัตว์เลี้ยงเข้ามาบ้าง เพราะไม่ได้เป็นพื้นที่ปิด ถ้าจะไปเที่ยวสถานที่แห่งนี้ เราต้องแต่งตัวมิดชิด ฟังจากชื่อก็แปลว่าป่าสมบูรณ์ (ได้เดินป่าสมใจ) การเดินทาง เดินทางออกจากพนมเปญในตอนเช้าประมาณตีห้า เพราะถ้าออกสายรถติดจะยิ่งทำให้ล่าช้า ระยะทางไกลจากพนมเปญ ประมาณ 200 กิโลเมตรกว่าๆ จากนั้นรถก็จะเลี้ยวเข้าไปในป่า เมื่อถึงรถจอดให้ลง มองไปรอบๆ ตรงไหนคือปราสาท เห็นเพียงป่าและเนินดิน แต่เมื่อเดินเข้าไปสักไม่ไกลนักก็จะมองเห็นปราสาทด้านหน้า และเดินตามป้ายเข้าไปด้านในอีกประมาณ 500 เมตรก็จะเจอปราสาทเก่าแก่ ตรงนั้นมีคำอธิบายความเป็นมาภาษาอังกฤษและภาษาเขมร ปราสาทเก่าถูกปกคลุมด้วยหญ้าต้นเล็กๆ ต้นโพธิ์เถาวัลย์ ไปจนถึงต้นไม้ขนาดใหญ่ ที่ขึ้นคร่อมจนเกือบจะเป็นหลังคา ทางเดินเข้าไปปราสาทด้านใน สภาพป่าที่นี่ จะเป็นดินทรายทั่วทั้งป่า การใส่รองเท้าที่ดีที่สุดเห็นจะเป็นรองเท้าแตะธรรมดา สบาย รองเท้าผ้าใบอาจจะมีกลุ่มของดินทรายติดกลับบ้านด้วย การไปเที่ยวครั้งนี้ นอกจากเราจะได้เห็นตัวปราสาททับหน้าทับหลังแนวเสาหิน ที่เป็นศิลปะชั้นเยี่ยมแล้ว เรายังได้เห็นศิลปะของต้นไม้ ความงามของป่าไม้ ที่มีความร่มรื่นเย็นสบาย แม้ว่าจะไปเที่ยวในฤดูอะไรป่าก็ยังคงเย็นร่มรื่น ปราสาทต่างๆยังคงมีความสมบูรณ์ มีทั้งอิฐก้อนเล็กก้อนน้อยทับซ้อนกัน ด้านในปราสาทอากาศเย็น มีพระพุทธรูปตั้งอยู่เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้กราบไหว้ ผู้บรรยายบอกว่าสถานที่แห่งนี้แต่ก่อนนั้นเคยถูกน้ำท่วมหนักมาก จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ดินทรายไหลมากองอยู่ที่นี่เป็นจำนวนมาก พื้นที่นี้ป่าล้อมรอบใหญ่มาก เดินเข้าไปลึกเข้าเรื่อยๆ ถ้าเป็นแถวบ้านอาจจะหลงป่าได้ เราเดินแบบไม่มีถอยไม่มีหยุด เดินหน้าตรง พอเดินเข้าไปลึกจะไปเจอหนองน้ำ หรือแอ่งน้ำก็ได้ มีขนาดไม่ใหญ่มาก ขอบสระทั้งสี่ด้านมีลักษณะเหมือนขั้นบันได ราดลงไป เชื่อว่าในสมัยก่อนที่นี่เป็นบ่อน้ำที่ศักดิ์สิทธิ์ แต่ตอนนี้ แห้งขอดเหลือน้ำไม่ค่อยเยอะ แต่ตรงนี้คือที่ที่ร่มรื่นและเย็นที่สุดตั้งแต่เดินมา เพราะข้างๆจะมีต้นไม้ใหญ่สองคนโอบ จนถึงสิบคนโอบยืนเรียงราย สูงตระหง่านและแปลกหูแปลกตามาก ต้นไม้เหล่านี้ คงจะมีอายุไม่น้อยเพราะดูจากลำต้นอันหนาใหญ่ และแข็งแรงมาก ถ้ามาในตอนกลางคืนคนเดียวคงจะเสียวหลังแน่นอน ต้นไม้ โอบกอดคน ดูแล้วถ้าเป็นเหมือนในหนังละครที่เราดู เวลาสัตว์ร้าย จะทำร้ายเรา วิ่งเข้าไปหลบด้านในคงจะปลอดภัย ทุกคนวุ่นอยู่กับการถ่ายภาพตรงบริเวณนี้นานมาก เพราะแปลกและมหัศจรรย์ ซึ่งถ้าเป็นในป่าประเทศไทยที่เคยเห็นลำต้นจะไม่แยกแบบนี้ แต่จะลำต้นใหญ่ เราสามารถเดินทะลุต้นไม้ได้ทุกทาง และสามารถเข้าไปยืนถ่ายได้ทีละหลายคนไม่ต้องกลัว แต่ก็แอบหวั่นบ้างเล็กน้อย เจ้ามดตัวน้อยๆที่คอยเฝ้าหวงบ้านของมัน ��♀️เดินมาอีกสักหน่อย ก็จะเจอกับต้นไม้หลากสี เหมือนต้นเมเปิ้ล สีสันสดใสที่สุดในป่า ในป่าต้นไม้ทั้งหมดมีใบสีเขียว แต่มีต้นไม้ตรงนี้ ที่มีสีแปลกจากเพื่อน จึงเป็นจุดในการถ่ายภาพของนักท่องเที่ยวก่อนที่เดินไปอีกหน่อย จะเป็นส่วนท้ายของปราสาท ซึ่งตอนนั้นทุกคนที่กำลังถ่ายภาพต้องวิ่งเพราะทุกคนรอถ่ายรูปรวม สถานที่ยืนถ่ายภาพหน้าปราสาททางด้านหลัง ปราสาทตรงนี้จะมีขนาดใหญ่กว่าทุกปราสาท ซึ่งสามารถเดินเข้าไปด้านในเพื่อสักการะได้ ส่วนของด้านในปราสาททั้งหมด จะทำด้วยอิฐวางเรียงกันอย่างสวยงามในส่วนของด้านใน เมื่อเราก้าวผ่านธรณีประตูเข้าไป อากาศด้านในนั้นต่างจากด้านนอกอย่างมาก สงบพร้อมเสียงสะท้อนเวลาพูด เชื่อว่าผนังต้องหนาอย่างแน่นอน ชอบนั่งอยู่ด้านในมาก เราใช้เวลาเยี่ยมชมสถานที่แห่งนี้ไม่นานนัก ก็เดินกลับเพื่อมาขึ้นรถเดินทางต่อ เพราะแม้ว่าจะอยู่ไม่ห่างจากพนมเปญมากนัก แต่ก็ต้องใช้เวลาเดินทางสามชั่วโมงขึ้นไป ตอนที่เราเดินกลับนั้นเราเดินกันไปอีกทาง เดินอ้อมไปอีกด้าน เพราะป่าสามารถเดินทะลุได้ สิ่งที่ประทับใจ ประทับใจสุดคือได้ถ่ายรูปกับต้นไม้ และสัมผัสกับปราสาทเก่าที่ไม่น่าเชื่อว่าจะอยู่กลางป่า รักในการเดินป่าในรอบสองปี เป็นป่าที่ทั้งสนุกและตื่นเต้น ปราสาทที่เห็นนั้นเก่าแก่มากจนเปลี่ยนสี บางปราสาทถูกต้นไม้ขึ้นโอบไว้ จนห้ามเข้าใกล้ แน่นอนที่ได้รับการยกให้เป็นมรดกโลก การไปเที่ยววันนั้นมีเพียงกลุ่มของพวกเราเข้าเที่ยว และยังคงไม่มีไกด์ประจำปราสาท เป็นเพียงอาจารย์ที่เรียนรู้ประวัติศาสตร์มาบ้าง แต่สักวันหนึ่งในอีกไม่นาน สถานที่แห่งนี้จะมีนักท่องเที่ยวที่รักในการเดินป่า ผจญภัยมาเที่ยวมากขึ้นอย่างแน่นอน ภาพทั้งหมดเป็นของผู้เขียนเอง (อุ้งเท้าแมว) อยากไปเที่ยวไหนหรือเปล่า? หาข้อมูลที่เที่ยวสุดปังได้ที่ App TrueID โหลดเลย ฟรี !