เที่ยวอำเภอเชียงคาน จังหวดเลย นอกจากไปถ่ายรูปบนสกายวอล์ค ชมพระอาทิตย์ขึ้น - สัมผัสทะเลหมอกบนภูทอก เที่ยวแก่งคุดคู้ ล่องเรือชมโขง พักผ่อนแบบสโลว์ไลฟ์ริมฝั่งโขง และเพลิดเพลินกับทุกดิสเพลย์ตลอดสองข้างทางของถนนคนเดินแล้ว...อีกกิจกรรมที่ผู้รักการถ่ายรูปแบบแอนทีค ผู้หลงใหลศิลปะและสถาปัตยกรรมโบราณแบบไทยอีสาน - ล้านช้าง ผู้ชอบตามรอยประวัติศาสตร์ และชาวสายบุญสายมู ไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่งคือ การไปเช็กอินวัดเก่าแก่ทั้งหลายในตัวเมืองเชียงคานค่ะเพราะความที่พระพุทธศาสนาได้หยั่งรากลึกลงในดินแดนแถบนี้มายาวนาน ในเชียงคานจึงมีวัดเก่าแก่ อายุตั้งแต่ 150 จนถึงกว่า 350 ปี อยู่จำนวนไม่น้อย ที่งดงามและทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์...นอกจากนี้ เมืองเล็ก ๆ ริมโขงแห่งนี้ ยังเคยอยู่ในเส้นทางธุดงค์และจุดพักจำพรรษาของครูอาจารย์องค์สำคัญในอดีต มี หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล หลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโม หลวงปู่มหาปิ่น ปัญญาพโล หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี หลวงปู่หลุย จันทสาโร หลวงปู่ฝั้น อาจาโร หลวงปู่ชอบ ฐานสโม หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เป็นต้น...แม้เป็นเมืองเล็ก ๆ แต่ด้วยความที่เป็นเมืองชายแดนและชัยภูมิสำคัญ ในอดีต เชียงคานจึงเป็นจุดเยี่ยมเยียนของชาวต่างชาติโดยเฉพาะชาวฝรั่งเศสอยู่เสมอ ๆ จนทำให้ศิลปะ - สถาปัตยกรรม ในที่ต่าง ๆ รวมถึงในวัดวาอาราม ที่แต่เดิมมีความเป็นไทยอีสาน - ล้านช้าง ได้รับอิทธิพลจากฝรั่งเศสไปด้วยค่ะจากการไปท่องเที่ยวเชียงคานแต่ละครั้ง และจากการติดตามข้อมูลการท่องเที่ยวเมืองเชียงคาน...ผู้เขียนรู้สึกดีใจมากที่ได้เห็นว่า ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา วัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองแต่ละแห่งได้รับการบูรณะซ่อมแซมอยู่เสมอ ทำให้ปูชนียสถานสำคัญต่าง ๆ ของเมืองเชียงคานไม่ทรุดโทรม กลับมีความมั่นคงแข็งแรงและสดใสสวยงามยิ่งขึ้น แต่ก็ยังคงรักษาศิลปะซึ่งเป็นอัตลักษณ์เฉพาะตนเอาไว้...คราวนี้ ผู้เขียนขอกล่าวถึงวัด 6 แห่ง ที่ผู้เขียนได้แวะไปแล้วประทับใจและอยากบอกต่อค่ะ1. วัดท่าแขกวัดนี้ตั้งอยู่ต้นทางของถนนเข้าสู่แก่งคุดคู้ มีโรงเรียนมูลมังหลวงปู่ชอบ ฐานสโม อยู่ใกล้ ๆ...ครั้งแรกที่ไป ผู้เขียนไม่ทราบอะไรเกี่ยวกับวัดมาก่อน แต่ก็โชคดีมากที่ได้แวะเข้าไปโดยความบังเอิญ...จุดแรกที่ผู้เขียนเดินหลงเข้าไปก็คือเรือนไทย แล้วก็ถึงกับอึ้งด้วยความยินดีเมื่อพบหุ่นขี้ผึ้งหลวงปู่ชอบฯ เหมือนองค์จริงนั่งยิ้มละไมอยู่กลางเรือนค่ะ...ครั้งต่อมาที่ได้ไป ผู้เขียนตั้งใจจะใช้เวลาอยู่บนเรือนไทยให้นาน ๆ จึงได้เดินสำรวจไปรอบ ๆ วัดแบบเร็ว ๆ เท่านั้น เห็นว่าวัดอยู่ระหว่างบูรณะ มีพระพุทธรูปเก่าแก่หลายองค์ ได้กราบสักการะทุกจุดที่เขาจัดให้สักการะนะคะ แต่ไม่ได้ถ่ายรูปอะไรไว้ค่ะวัดนี้ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 2209 โดยราชนิกุลล้านช้างหลวงพระบาง เพื่อบำเพ็ญกุศลแด่พระชายาและพระธิดาที่เสียชีวิตเพราะเรือล่มในแม่น้ำโขงค่ะ...วัดถูกปล่อยร้างมานาน จนกระทั่งมีการค้นพบบันทึกประวัติและเริ่มบูรณะกันอีกครั้ง เมื่อครูบาอาจารย์สายธุดงคกรรมฐานหลายรูป มี หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล และลูกศิษย์องค์สำคัญ ๆ มีหลวงปู่ชอบฯ เป็นต้น เดินธุดงค์ไปปักกลดพักค้างอยู่หลายโอกาส...ภายหลัง หลวงปู่ชอบฯ ได้กลับไปจำพรรษา บูรณะวัด เปิดสอนพระกรรมฐานแก่พระและชาวบ้าน รวมทั้งสร้างโรงเรียนให้แก่เด็ก ๆ ค่ะ...ชื่อ "ท่าแขก" เพี้ยนมาจาก "ท่าแข่" เพราะริมโขงบริเวณนี้ ในอดีตเต็มไปด้วยจระเข้ (ภาษาอีสานเรียกว่า "แข่")...หลังจากกลับมาแล้ว ผู้เขียนเพิ่งได้ทราบว่า วัดยังมีเรื่องราวเกี่ยวกับพญานาคในแม่น้ำโขงที่ศรัทธาต่อองค์หลวงปู่ชอบฯ มีเป็นหลักฐานให้เห็นในสิ่งก่อสร้างและปูชนียวัตถุด้วยค่ะ2. วัดท่าคกวัดอยู่ติดกับถนนคนเดิน จะเรียกว่าเป็นต้นทางก็ว่าได้ค่ะ...ลานวัฒนธรรม จุดบริการนักท่องเที่ยว สวนสาธารณะจุดชมวิวโขง จุดจอดรถใหญ่ รวมทั้งจุดรอตักบาตรเช้าสำหรับนักท่องเที่ยว ก็ล้วนแต่อยู่ตรงบริเวณหน้าวัด (ผู้เขียนเองก็ไปนั่งรอตักบาตรตรงบริเวณนั้น ซึ่งมีชาวบ้านนำชุดตักบาตรมารอขายให้ค่ะ)...ชื่อ "ท่าคก" มีที่มาจากลักษณะการไหลของแม่น้ำโขงบริเวณหน้าวัดนี้ ที่เป็นคุ้งน้ำวนและมีการกัดเซาะเข้าในตลิ่ง คนสมัยก่อนจึงเรียกเป็นชื่อท่าน้ำ (ถ้าลงเรือชมโขงจากแก่งคุดคู้ เรือก็จะจอดเทียบท่าให้ขึ้นฝั่งใกล้ ๆ บริเวณนั้นค่ะ)...ผู้เขียนเห็นว่า ภาพโบสถ์ทรงโบราณแบบล้านช้างที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่กลางวัด ขนาดเล็กน่ารัก แต่ตกแต่งแบบจัดเต็ม ด้วยลวดลายที่มีส่วนคล้ายกับศิลปะฝรั่งเศส เป็นภาพที่มีเสน่ห์มากค่ะผู้เขียนประทับใจที่มาของวัดที่ว่า เจ้าเมืองเชียงคานชวนชาวบ้านสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2395 เพื่อแสดงว่าพื้นที่ถูกจับจองใช้ประโยชน์แล้ว เป็นการกันพื้นที่เอาไว้ไม่ให้ถูกเข้ารุกล้ำเข้ายึดครอง เพราะช่วงนั้นเป็นยุคเริ่มต้นการล่าอาณานิคมในดินแดนแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ค่ะ...คงเป็นเพราะวัดนี้อยู่ใกล้สายตานักท่องเที่ยวมากที่สุด ผู้เขียนจึงสังเกตเห็นว่า โบสถ์หลังน่ารักนั้นได้รับการบูรณะปรับปรุงให้ดูใหม่และสดใสสวยงามอยู่เสมอ ประมาณว่า เห็นอีกที องค์ประกอบโบสถ์ก็เปลี่ยนสีใหม่ ต่างกับครั้งก่อนที่เคยเห็น แต่ก็นับว่าเป็นเรื่องดีมาก ๆ เวอร์ชั่นไหนก็สวยน่าประทับใจทั้งหมดค่ะ3. วัดมหาธาตุวัดอยู่ริมถนนศรีเชียงคาน (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 211) ซึ่งเป็นเหมือนถนนเส้นหลักของอำเภอค่ะ...วัดนี้สร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2197 นับเป็นวัดหนึ่งที่เก่าแก่ที่สุดและเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองเชียงคาน...สิ่งก่อสร้างที่บ่งบอกถึงความเก่าแก่โบราณ และน่าปลื้มใจที่ถูกรักษามาได้จนถึงทุกวันนี้คือ โบสถ์เก่าแก่รูปทรงไม่ซับซ้อน มีภาพจิตรกรรมฝาผนังเป็นลายเขียนสีแบบอีสาน ทั้งพุทธประวัติและเรื่องราวของเมืองเชียงคาน...ภายในประดิษฐานหลวงพ่อใหญ่ พระคู่บ้านคู่เมืองที่ได้รับความเคารพนับถือของชาวเมือง และยังมีโบราณวัตถุมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่ทำจากไม้ แบบลวดลายและสีเป็นแบบศิลปะล้านช้างค่ะ...ข้างโบสถ์เก่า ก็มีพระธาตุเก่า เป็นที่มาของชื่อวัด "มหาธาตุ" นั่นเอง...เห็นแล้วก็น่าเชื่อตามตำนานว่า พระธาตุนี้สร้างเหนือรูที่พญานาคขึ้นมาสักการะหลวงพ่อใหญ่ เพราะเราจะเห็นว่าเขาทำช่องเหมือนให้พญานาคเลื้อยผ่านทั้งที่ข้างองค์พระธาตุและที่โบสถ์เก่าตรงข้างองค์หลวงพ่อใหญ่ค่ะวัดเคยเป็นที่ตั้งของที่ว่าราชการของเจ้าเมืองเชียงคานมายาวนานหลายสมัย ในสมัยหลัง ๆ มีชาวต่างประเทศเดินทางเข้าติดต่อราชการอยู่เสมอ จึงมีการสร้างห้องน้ำสำหรับชาวต่างชาติ...ดังนั้นเมื่อไปที่วัด เราจึงได้เห็นห้องน้ำรูปทรงฝรั่งเศสด้วย แสดงถึงความมีอารยะมาก ๆ ของดินแดนสุดขอบชายโขงแห่งนี้ค่ะ...อีกสิ่งก่อสร้างที่ผู้เขียนชอบก็คือ ยักษ์คู่ที่เฝ้าหน้าประตูวัด ดูแปลกไปจากรูปแบบของยักษ์หน้าวัดในที่อื่น ๆ ที่เราคุ้นตากันค่ะ4. วัดป่าใต้วัดอยู่ในซอยศรีเชียงคาน 17 ลึกเข้าไปจากถนนศรีเชียงคานประมาณ 50 เมตร...วัดนี้ถูกสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2415 เพื่อเป็นวัดสำหรับพระธุดงค์ได้พักปักกลด - จำพรรษา เป็นที่มาของชื่อวัดว่า "ป่าใต้" นั่นเองค่ะ...โบสถ์เก่าแก่และมีลักษณะเฉพาะตัว ทำให้ผู้เขียนตื่นตาตื่นใจไม่แพ้ที่อื่น ๆ หลังคาโบสถ์เป็นศิลปะแบบหลวงพระบาง ส่วนตัวอาคารเหมือนได้รับอิทธิพลจากสถาปัตยกรรมฝรั่งเศสมาด้วย ได้ทราบว่าการตกแต่งองค์อาคารเป็นฝีมือช่างชาวญวณค่ะ...ผนังรอบโบสถ์ทั้งในและนอกห้อง เต็มไปด้วยจิตรกรรมภาพวาดพุทธประวัติ เป็นฝีมือของช่างชาวเชียงคาน นั่งดู เดินดู ก็เพลินดีค่ะ...หน้าต่างของโบสถ์ยังเป็นลูกกรงเหล็กกลม ๆ เป็นซี่ ๆ เหมือนอาคารสมัยเก่า ทำให้บรรยากาศคลาสสิกมาก ๆ ค่ะในโบสถ์มีพระพุทธรูปเก่าแก่มากมายให้อธิษฐานขอพร...อีกอย่างที่สายมูน่าจะชอบก็คือ ตอนที่ผู้เขียนไป มีพระพุทธรูปเสี่ยงทาย (ให้อธิษฐานแล้วยก) อยู่ในโบสถ์ด้วยค่ะ...และอีกอย่างที่ชอบใจคือ แม้ภายในวัดมีอาคารพิพิธภัณฑ์ (พิพิธภัณฑ์สงฆ์วัดป่าใต้ ภายในมีปูชนียวัตถุมากมาย แต่ด้วยเวลาจำกัด ผู้เขียนจึงไม่สามารถแวะได้ค่ะ) มีโรงเรียนพระปริยัติธรรม และพื้นที่โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน ฯลฯ แต่วัดก็ยังเหลือพื้นที่กว้างขวางเป็นที่จอดรถได้มากมาย จนรถทัวร์จอดได้หลายคัน (แต่ต้องระวังตอนรถสูง ๆ ลอดผ่านประตูโขง) ค่ะ5. วัดศรีคุณเมืองวัดนี้อยู่ติดถนนริมโขง แต่สามารถเดินทางเข้าสู่วัดจากถนนศรีเชียงคานก็ได้ค่ะ นักท่องเที่ยวที่ไปถนนคนเดินจึงเลยไปแวะเข้าวัด หรือบางกลุ่มแวะวัดแล้วก็เดินต่อไปถนนคนเดิน...วัดสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2199 เป็นอีกวัดคู่บ้านคู่เมือง ที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวเชียงคานมานาน เห็นได้จากลักษณะของสถานที่ที่บ่งบอกว่า ถูกตกแต่งด้วยศิลปะอย่างวิจิตรงดงาม และได้รับการปรับปรุง - พัฒนา - ดูแลเป็นอย่างดีมาอย่างต่อเนื่องค่ะ...เดิมวัดชื่อว่า "วัดใหญ่" ซึ่งผู้เขียนก็เห็นด้วย เพราะวัดดูอลังการตั้งแต่ทางเข้าแล้ว คือมีพญานาคตัวยาวสองข้างทาง หัวอยู่ที่ป้ายวัด หางอยู่ในตัววัดค่ะ...ส่วนในพื้นที่วัด ก็มีทั้งโบสถ์เก่าแก่ที่ถ้าเทียบกับวัดรุ่นราวคราวเดียวกันในเมืองเชียงคาน ก็นับว่ามีขนาดใหญ่...นอกจากนี้ก็ยังมีพระธาตุโบราณ ศาลพญามุจลินท์นาคราช กุฏิเรือนไม้ประดิษฐานพระพุทธรูปและรูปครูอาจารย์ ให้ผู้คนขึ้นไปสักการะ ศาลาการเปรียญหลังใหญ่ พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นเชียงคาน ที่รวบรวมข้าวของโบราณในวิถีชีวิตชาวบ้านให้ผู้คนได้ศึกษาเรียนรู้ เป็นต้น แถมยังมีพื้นที่เหลือสำหรับเป็นพื้นที่จอดรถอีกด้วยค่ะโบสถ์ของวัด มีลักษณะพิเศษ ไม่เห็นที่ใดในเชียงคาน ได้ทราบว่าศิลปะเป็นแบบล้านนาผสมล้านช้าง...หน้าโบสถ์มีรูปปั้นสิงห์คู่และยักษ์คู่ ส่วนหน้าบันก็มีจิตรกรรมภาพวาดพุทธชาดกทศชาติ...ทั้งภายในและภายนอก มีการใช้ชิ้นกระจกสีประดับตกแต่ง ทำให้ดูสวยงามแปลกตา...กระจกสีด้านในโบสถ์นี้ได้ทราบว่ามาเพิ่มเติมทีหลัง แต่ก็นับว่าเข้ากันได้ดีกับศิลปะเดิมค่ะ...นอกจากองค์พระประธานปางมารวิชัยนาคปรก อายุราว 300 ปี ภายในโบสถ์ก็มีโบราณวัตถุศิลปะล้านช้างอยู่มากมายหลายชิ้นให้ได้ชื่นชมค่ะ...วัดนี้มีมุมสวย ๆ สีสันสดใส และองค์ประกอบแบบอาร์ท ๆ เยอะมาก สายถ่ายรูปต้องถูกใจแน่นอนค่ะ6. วัดสันติวนารามวัดตั้งอยู่ในซอยศรีเชียงคาน 9 ห่างออกไปจากใจกลางอำเภอ (ถนนศรีเชียงคาน) ประมาณ 300 - 400 เมตร...วัดสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2482 ชาวบ้านเรียกว่า "วัดโนนป่าช้า" ซึ่งผู้เขียนคิดว่า ชื่อนี้คงไม่ได้มาด้วยความบังเอิญค่ะ...บรรยากาศในวัดสงบเงียบ ร่มรื่น อาคารบางส่วนก็ดูขรึม ด้วยสีสันและกาลเวลา ผู้ติดตามทั้งหลายในทริป ไม่มีใครทราบเรื่องชื่อเดิมของวัดมาก่อน ผู้เขียนก็ไม่ได้บอก พวกเขาเลยพากันเดินถ่ายรูปกันด้วยความเพลิดเพลินค่ะ...วัดนี้ถือว่ามีอายุน้อยมากเมื่อเทียบกับวัดอื่น ๆ ที่กล่าวมาแล้ว แต่ผู้เขียนเห็นว่า ไฮไลท์ของวัดอยู่ที่โบสถ์ที่เพิ่งได้รับการปรับปรุงเมื่อไม่นานมานี้ ดูสวยงามสดใสทั้งภายในและภายนอก มีวิหารคตซึ่งมีพระพุทธรูปสีทองอยู่รายล้อมทุกทิศ น่าจะเป็นที่ถูกใจของสายถ่ายรูปค่ะอีกจุดหนึ่งที่ผู้เขียนชอบมาก และความทรงจำยังแม่นยำเกี่ยวกับวัดนี้ก็คือ ยักษ์สีฟ้า ค่ะ...ยักษ์ 2 ตน ที่เฝ้าอยู่หน้าโบสถ์ เป็นเหมือนยักษ์สายหวาน ดูน่ารักน่าเอ็นดูที่สุดเท่าที่ผู้เขียนเคยเห็นมา เห็นแล้วให้ความรู้สึกว่า ผู้ไปเยือนจะได้รับการดูแลต้อนรับด้วยความเป็นมิตรค่ะ...มองจากบนโบสถ์ ผ่านยักษ์ และหลังคาวิหารคตออกไป เราก็จะเห็นหลังคาของมณฆปครอบรอยพระพุทธบาทจำลอง ที่มีรูปร่างสูงแหลม มองดูผิวเผินก็เหมือนโบสถ์ฝรั่งค่ะ...แต่ในทริป ผู้เขียนมีเวลาเหลือน้อย จึงไม่ได้แวะสักการะค่ะ.มรรษยวรินทร์ภาพประกอบทุกภาพ โดย มรรษยวรินทร์วัดท่าแขก เชียงคานวัดท่าคก เชียงคานวัดมหาธาตุ เชียงคานวัดป่าใต้ เชียงคานวัดศรีคุณเมือง เชียงคานวัดสันติวนาราม เชียงคานเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !