วันนี้เราจะมาแบ่งปันประสบการณ์การไปล่าแสงเหนือครั้งแรกของเราค่ะ แสงเหนือ หรือภาษาอังกฤษ เรียกว่า Northern Light, Aurora borealis หรือ Polar lights เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เราสามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า การไปล่าแสงเหนือเป็นหนึ่งรายการใน Bucket List ของเราค่ะ เราสามารถไปล่าแสงเหนือได้ในหลาย ๆ ประเทศ เช่น Iceland, Norway, Sweden, Finland, Greenland, และเมืองที่เราจะเลือกแล้ว ใน Russia คือ Murmansk ค่ะ สาเหตุที่เราเลือก Murmansk เพราะเป็นเมืองที่ใช้งบประมาณน้อยที่สุดในบรรดาเมืองที่สามารถเห็นแสงเหนือได้ และโบนัสสำหรับคนไทยคือ เราสามารถไปเที่ยวรัสเซียได้โดยไม่ต้องมีวีซ่า แต่เมืองอื่น ๆ ที่อยู่ในลิสท์นั้น นอกจากค่าใช้จ่ายจะแพงกว่าแล้ว เรายังต้องเสียค่าวีซ่าอีก และบางประเทศก็ไม่มีสถานทูตของตัวเองในกรุงเทพฯ ยุ่งยากเข้าไปอีกค่ะ เมื่อเราเลือกเมืองที่เราจะไปแล้ว เราก็มาเลือกช่วงเวลาที่เราจะไปค่ะ เราสามารถเห็นแสงเหนือได้ในเดือน พฤศจิกายน ถึง กลางเดือนเมษายน ซึ่งเป็นช่วงฤดูหนาว อากาศที่นั่นหนาวมาก อุณหภูมิเฉลี่ยในช่วงนั้นก็จะตั้งแต่ติดลบน้อย ๆ อย่าง -1 ถึงติดลบมาก ๆ อย่าง -13 ช่วงเวลาที่มีแสงอาทิตย์ในช่วงหน้าหนาวก็จะมีแบบไม่มีแสงอาทิตย์เลย คือเหมือนมีแต่เวลากลางคืนทั้งวัน กับช่วงเวลาที่กลางวันและกลางคืนยาวพอ ๆ กัน เช่นเดือนมีนาคม และเมษายน เราเลือกที่จะเดินทางไปในช่วงเดือนมีนาคม เพราะกลางวันและกลางคืนยาวพอ ๆ กัน และหิมะยังหนา ขาวฟูอยู่ ทำให้เราสามารถไปเที่ยวได้ในเวลากลางวัน แบบได้วิวสวย ๆ ด้วย เราไปรัสเซียทั้งทีจะเที่ยวแค่ Murmansk ก็จะไม่คุ้มค่าตั๋วเครื่องบิน เราเลยพ่วงเมืองอื่นไปด้วยอีกสองเมืองคือ Saint Petersburg และ Moscow เราจะมาเล่าถึงสองเมืองนี้ในครั้งต่อไปค่ะ การล่าแสงเหนือนั้นจะต้องทำในเวลากลางคืน การเดินทางก็ต้องใช้รถยนต์เท่านั้น เพราะแสงเหนือจะเห็นได้ชัดในที่มืด ๆ คือนอกเมืองค่ะ (ในเมืองก็เห็นได้นะคะ ถ้าไม่มีแสงสว่างมาบัง) เราไม่เคยขับรถในฤดูหนาวมาก่อน และไม่คุ้นเคยกับถนนในรัสเซีย ดังนั้นแล้วเราจึงใช้บริการไกด์ท้องถิ่นในการพาเราไปล่าแสงเหนือ จริง ๆ แล้วแสงเหนือมีอยู่ทั้งวันแต่เวลากลางวันนั้นแสงอาทิตย์ทำให้เราไม่สามารถมองเห็นแสงเหนือ Murmansk นั้นเป็นเมืองที่อยู่ทางตอนเหนือของรัสเซีย สามารถเดินทางไปได้ทางรถยนต์ รถไฟและเครื่องบิน แต่รถยนต์ รถไฟจะใช้เวลานานมาก ที่สะดวกสุดคือทางเครื่องบิน ไปได้ทั้งจากมอสโก และเซนต์ปีเตอร์เบิร์ก สนามบินที่นั่นมีขนาดเล็ก มีไฟลท์ไม่กี่ไฟลท์ต่อวัน มีแค่เทอร์มินอลเดียว ไม่มีงวงหรือรถบัสรับส่ง เดินลงจากเครื่องบินแล้วเดินเข้ามาที่อาคารผู้โดยสารได้เลย สนามบินจะอยู่นอกเมืองออกมาไม่ไกล ไม่มีขนส่งสาธารณะ คือไม่มีรถไฟฟ้า หรือรถบัสจากสนามบินไปที่ตัวเมือง การเดินทางที่สะดวกสุดคือการใช้บริการรถแท๊กซี่ หรือจองไว้ล่วงหน้า หรือ ให้ไกด์ท้องถิ่นมารับ เราเลือกที่จะใช้บริการรับส่งสนามบินกับไกด์ท้องถิ่นที่เป็นผู้นำเราไปล่าแสงเหนือ ในการหาไกด์ เราต้องเลือกเปรียบเทียบจากหลาย ๆ อย่างประกอบกัน มีไกด์หลาย ๆ คนที่ให้บริการพานักท่องเที่ยวไปล่าแสงเหนือใน Murmansk ราคาก็จะใกล้เคียงกัน บางเจ้าอาจจะถูกกว่า แต่การบริการอาจจะไม่ดีนัก เราติดต่อไปประมาณ 5-6 เจ้า โดยเลือกจากที่เคยมีผู้ใช้บริการมาก่อนและคอมเมนต์ไว้ในทางที่ดี เนื่องจากเวลาที่แตกต่างระหว่างไทยกับรัสเซีย ทำให้บางเจ้าใช้เวลานานกว่าที่จะตอบเรามา ส่วนมากแล้วราคาจะคิดเป็นแพคเกจ เราให้โจทย์ไกด์ทุกคนไปว่า เราจะอยู่ที่ Murmansk ทั้งหมด 4 วัน 3 คืน เรามีเวลาที่จะล่าแสงเหนือได้ 3 คืน เวลากลางวันเต็ม ๆ 2 วัน โปรแกรมที่ไกด์จัดมาให้จะคล้าย ๆ กัน แต่เราเลือกที่จะเดินทางกับ Aurora Transfer เพราะคอมเมนต์ที่ได้อ่านมาจากหลาย ๆ คน คือ ไกด์ดูแลดีมาก และรูปที่เขาถ่ายออกมาสวยมาก เราเช็คจากรูปในเฟสบุ๊คเขาค่ะ รูปแสงเหนือที่เขาถ่ายชัดเจนสีสวย โปรแกรมที่เราได้มา คือ รวมบริการรถรับส่งสนามบิน ล่าแสงเหนือสองคืน ถ้าทั้งสองคืนไม่เจอ แถมคืนที่สามฟรี กลางวันเที่ยว ฮัสกี้ ฟาร์ม นั่งเลื่อนกวางเรนเดียร์ ที่ Park Lovozero หนึ่งวัน และอีกวันเที่ยวหมู่บ้านชายทะเล Teriberka แถบ Arctic Ocean ราคาค่าทัวร์จะขึ้นอยู่กับจำนวนคน ถ้า 1-2 คนก็จะแพงกว่า 3-4 คนขึ้นไป ถ้าไปน้อยคนอยากได้เป็นทัวร์ส่วนตัวราคาก็จะแพงขึ้นมาอีก เราเลือกที่จะไป 4 คน โดยทัวร์กลางวันและรับส่งสนามบินจะเป็นส่วนตัวไม่มีคนอื่นมาร่วมทริป แต่ล่าแสงเหนือกลางคืนมีกลุ่มอื่นมาร่วมด้วยอีก 3-4 คน ซึ่งในส่วนของการล่าแสงเหนือนั้นไกด์ที่เราจองไว้ช่ือ Dmitriy Gladkikh หรือ Dima จะเป็นคนดูแลเอง ส่วนทัวร์ในเวลากลางวันจะมีทีมงานของเขาเป็นคนพาเราไปเที่ยว ซึ่ง Dima ก็จะคอยถามว่าเป็นอย่างไรบ้างไม่ได้ทิ้งไปเสียทีเดียว วันแรกที่ไปถึง Murmansk เราไปถึงเย็นแล้วค่ะ Dima โทรมานัดเวลาว่าจะมารับที่โรงแรมที่เราพักเวลาประมาณสองทุ่มครึ่งเพื่อไปล่าแสงเหนือในคืนนั้นเลย โดยในแต่ละวันเขาจะตรวจสภาพอากาศและค่า KP เพื่อดูว่าควรจะไปดูแสงเหนือที่จุดไหนดี ส่วนการเตรียมพร้อมของเรา เนื่องจากช่วงเวลาที่เราไปเป็นหน้าหนาว อากาศติดลบ เราจึงต้องเตรียมอุปกรณ์กันหนาวไปให้พร้อมสำหรับเราที่สุด รองเท้าจะสำคัญที่สุด ต้องกันน้ำ กันลื่น ถุงมือ หมวก เสื้อกันหนาว ต้องพร้อม หรือถ้ามีแผ่นติดให้ความอบอุ่นด้วยก็พกไปด้วย เราทานอาหารเย็นที่โรงแรมที่เราพัก แล้วก็เตรียมตัวสำหรับการล่าแสงเหนือ ในแต่ละคืนอาจใช้เวลาตั้งแต่สามชั่วโมงถึงห้าชั่วโมง แล้วแต่สถานการณ์ เราควรเตรียมขนมหรือเครื่องดื่มร้อน ๆ ไปด้วย ไกด์ก็จะเตรียมชาและคุ้กกี้ไปด้วย แต่เราก็เตรียมของเราไปด้วยเผื่อเราหิว ใครที่ขี้หนาวจะเตรียมผ้าห่มไปด้วยก็ได้ สำหรับเราแล้วถ้าหนาวมาก ๆ เราก็จะวิ่งเข้าไปอยู่ในรถแล้วค่อยออกมาใหม่ คืนแรกเราก็โชคดีได้เห็นแสงเหนือ และทางช้างเผือกแถมมาด้วย Dima ขับรถพาพวกเราไปล่าแสงเหนือ 3 ที่ รวมเวลาแล้วประมาณ 4 ชั่วโมง อากาศหนาว มากแต่ก็สนุกดี เขาจะทำหน้าที่เป็นคนถ่ายรูปให้พวกเราด้วย และเราก็หัดถ่ายของเราเองด้วย จบทริปคืนนั้น เขาก็นัดเวลากับเราในวันต่อไปว่าจะให้ไกด์มารับที่โรงแรมกี่โมง คืนแรกเราเห็นแสงเหนือไม่มากนัก เมื่อเทียบกับคืนที่สอง ข้อสำคัญอีกอย่างคือ เวลาที่ไปล่าแสงเหนือนี่คือเราจะออกไปนอกเมือง ทุกที่จะไม่มีห้องน้ำนะคะ ใครจะเตรียมอุปกรณ์สำหรับไปปลดทุกข์ติดไปด้วยก็ได้ วันที่สองเราไป ที่ Park Lovozero กิจกรรมวันนี้ก็จะมีนั่งเลื่อนที่ลากโดยฮัสกี้ เยี่ยมหมู่บ้าน Sami ที่เป็นชนพื้นเมือง นั่งเลื่อนและให้อาหารกวางเรนเดียร์ ใช้เวลาเดินทางประมาณ สามชั่วโมงจาก Murmansk มีอาหารกลางวันแบบพื้นบ้านให้เราได้ทานด้วย เราใช้เวลาอยู่ที่นั่นประมาณสามถึงสี่ชั่วโมงก็เดินทางกลับมาที่ Murmansk เพื่อรอเวลาไปล่าแสงเหนืออีกเป็นคืนที่สอง Dima ติดต่อมาว่าจะมารับประมาณสามทุ่มเพื่อออกไปล่าแสงเหนืออีกในคืนนั้น คืนนี้เราออกไปจากเมืองไม่ไกลมาก Dima พาพวกเราไปคนละทางกับที่ไปในคืนแรก ออกจากตัวเมืองไปประมาณไม่ถึงชั่วโมง เราได้เห็นแสงเหนือตั้งแต่จุดแรกที่เราไปจอดรถ และใช้เวลาอยู่ที่นั่นนานมาก เรายืนถ่ายรูปอยู่บนกองหิมะ เย็นมากจนเท้าไม่มีความรู้สึก เวลาผ่านไปโดยที่เราไม่รู้ตัวเลยว่าเราอยู่ที่นั่นหลายชั่วโมงแล้ว เราหัดถ่ายรูปแสงเหนือเองบ้างในขณะที่คนอื่นกลับเข้าไปอยู่ในรถ แล้วเราก็เห็นแสงเหนือออกมาเต้นระบำให้เห็นด้วยตาเปล่า มันเป็นประสบการณ์ที่บอกไม่ได้เลยว่าพิเศษขนาดไหน ต้องมาเห็นด้วยตาตัวเอง โดยเฉพาะเมื่อแสงเหนือเคลื่อนที่จากด้านซ้ายไปขวา บนลงล่าง ขยับไปมาเหมือนเต้นระบำอยู่ เราอยู่ที่นั่นจนถึงตีหนึ่งแล้วก็ได้เวลากลับ ได้รูปสวย ๆ มาเยอะมาก กลับมาที่พัก Dima ก้อปปี้รูปให้เราจากกล้องเขาเลย ได้รูปเร็วมากเป็นรูปที่ไม่ต้องแต่งอะไรเลย เห็นรูปแล้วเราก็รู้สึกว่าเราพลาดไปนิด คือเราไม่ได้แต่งหน้าไปเลยเพราะคิดว่ามันเป็นเวลากลางคืนคงเห็นไม่ชัดเจน แต่ที่ไหนได้ รูปชัดมากและหน้าเราก็ออกมาซีดมาก วันที่สามของการพักที่ Murmansk เราไปที่หมู่บ้าน Teriberka กัน เพื่อไปดูน้ำตกเป็นน้ำแข็ง ซากเรือไม้บริเวณทางเข้าหมู่บ้าน และ ไปทานอาหารกลางวันที่หมู่บ้านชายทะเล ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง ไกด์ขับรถพาเราไปบนถนนที่มีแต่หิมะสีขาว ๆ รู้สึกเหมือนว่าเรากำลังอยู่บนโลกต่างดาว หมู่บ้านนี้ไม่ค่อยมีคนอยู่เลย มีร้านอาหารเปิดอยู่ร้านเดียวที่เห็น มีนักท่องเที่ยวและชาวบ้านที่เป็นคนพาเที่ยว ที่นี่เคยเป็นหมู่บ้านชาวประมง แต่ตอนนี้ไม่แน่ใจว่ายังมีคนทำประมงอยู่ไหม วันที่สี่ เป็นวันที่เราต้องเดินทางออกจาก Murmansk เพื่อไป มอสโก ไฟลท์ของเราประมาณเที่ยง ก็ต้องไปถึงสนามบินก่อนสิบเอ็ดโมง สนามบินเล็กมาก ข้างในมีที่ให้นั่งรอไม่มาก และมีร้านขายของที่ละลึกอยู่สองร้าน ร้านกาแฟอีกสองร้าน ไฟลท์ค่อนข้างตรงเวลา ไม่ต้องรอนานมาก สนามบินนี้มีชื่อเสียงเรื่องงัดค้นกระเป๋า ซึ่งของเราก็โดนเปิดค้นแต่ก็ไม่ได้มีอะไรหายหรือเสียหาย ทริปนี้เป็นอีกทริปที่เราประทับใจมาก ไกด์บอกว่าเราโชคดีที่เห็นแสงเหนือทั้งสองวัน บางคนไปไม่ได้เจอเลยก็มี คนที่ร่วมทริปกับเราในคืนแรก เขามาล่าเป็นคืนที่สามแล้ว เพราะสองคืนแรกเขาไม่เห็น หรือบางคนก็เห็นแบบจาง ๆ เราปิดทริปด้วยการขีดฆ่าอีกหนึ่งรายการใน Bucket List ของเราไปแบบให้คะแนนเต็มสิบเลยทีเดียว เครดิตรูปภาพประกอบเป็นของผู้เขียน (ภาพแสงเหนือถ่ายโดยไกด์ Dmitriy Gladkikh)