ถ้าพูดถึงเมือง Santo domingo เมืองหลวงของประเทศ Dominican Republic หลายคนอาจจะไม่ค่อยคุ้นหูนัก Dominican Republic เป็นเกาะเล็ก ๆ ในแถบหมู่เกาะแคริเบียน ใช้พื้นที่เกาะร่วมกับประเทศไฮติ ถ้าพูดถึงแคริเบียน แน่นอนว่าต้องนึกถึงฟ้าสวย ๆ ทะเลใส ๆ ชายหาดและรีสอร์ทใช่ไหมคะ แต่วันนี้จะพาไปเที่ยวแคริเบียนแบบไม่เจอทะเลกันค่า~ ประชากรหลักของที่นี่เป็นชาวผิวสีและพูดภาษาสเปนเป็นภาษาหลัก เนื่องจากมีช่วงที่ถูกยึดและปกครองโดยสเปนนั่นเองค่ะ เราเป็นลูกเรือและมีเวลา 1 วันก่อนออกเรือเนื่องจากพายุเฮอริเคนกำลังจะถล่มชายฝั่งที่แคริเบียน เลยได้มีเวลา 1 วันเดินชมรอบ ๆ เมืองบริเวณท่าเรือ โดยที่ทั้งเราและเพื่อน ๆ ไม่มีอินเตอร์เนต ไม่รู้เลยว่ารอบ ๆ มีอะไรบ้าง ภาษาสเปนก็พูดไม่ได้แถมชาวบ้านก็ไม่พูดภาษาอังกฤษกันเลยด้วยสิ แต่ไหน ๆ มาถึงขนาดนี้แล้ว เดินลุยไปเลยก็แล้วกัน บ้านเมืองแม้จะดูไม่สะอาดมาก แต่เรารู้สึกว่ามันมีความสวยงามและการผสมผสานที่ลงตัวมากทีเดียวค่ะ เนื่องจากวันที่เราไปเดินเป็นวันอาทิตย์ ทุกอย่างก็เลยปิดหมดเพราะที่นี่ศาสนาหลักคือศาสนาคริสต์ค่ะ ลืมบอกไปว่า Santo Domingo เป็นภาษาสเปนแปลว่าวันอาทิตย์บริสุทธิ์ค่ะ ตามความเชื่อทางคริสต์ของชาวสเปนในสมัยก่อนนั่นเอง เดินเรื่อยมาจนบังเอิญไปเจอเข้ากับโบสถ์แห่งนึงเปิดอยู่ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นเรากับเพื่อนก็ลุยเข้าไปข้างในเลยค่ะ อยากรู้ว่าเค้าทำอะไรกันบ้าง ระหว่างที่กำลังยืนงงกับเพื่อนๆ อยู่ น้องคนนี้ก็วิ่งเข้ามากอดขาเรา เราเลยนั่งลงไปกอดน้องคืน โดยไม่รู้จักมักจี่หรือเคยพบหน้ากันมาก่อนเลย รู้สึกตัวเองเป็นนางงามมิตรภาพมาก ประทับใจสุด ๆ เลยขอเก็บภาพน้องเป็นที่ระลึก และหลังจากน้อง คนทั้งโบสถ์ก็แห่มายืนมองทักทายเราและเพื่อน ๆ กันยกใหญ่เลยค่ะ ต้องบอกก่อนว่าชาวแคริเบียนและลาตินอเมริกา มีความเป็นมิตรสูงมากถึงมากที่สุด อยากพูดอยากคุยอยากทักทาย แม้จะพูดคนละภาษาและรู้ว่าเราไม่เข้าใจก็ตาม ซึ่งเราว่ามันเป็นอะไรที่น่ารักและทำให้เราประทับใจมาก หลังจากนั้นเราก็เดินวนไปเรื่อย ๆ จนลานขนาดเล็กและที่มีอนุสรณ์สถานระลึกถึงวีรบุรุษของประเทศที่เคยออกรบและกอบกู้ชาติมาหลายยุคสมัย หลังจากนั้นใกล้ค่ำ เราได้ยินว่ามีพลาซ่าที่ล้อมรอบด้วยร้านอาหารและอาคารเก่าแก่อยู่ด้วย ซึ่งอยู่ใกล้กับท่าเรือที่เรือเราจอด แน่นอนว่าต้องไม่พลาด แวะชมกันสักหน่อย และอีกฝั่งนึงของพลาซ่า Plaza de Espana ซึ่งเรามารู้ทีหลังว่าอาคารหลังนี้ ชื่อว่า Alcázar de Colón ถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโก ซึ่งเป็นบ้านที่สร้างโดย ดีเอโก โคลัมบัส ลูกชายคนแรกของคริสโตเฟอร์ โคลัมบัสนั่นเอง เราไม่แน่ใจว่าปกติเค้าเปิดให้ชมข้างในไหมหรือปิดเพราะวันนั้นเป็นวันอาทิตย์ แต่เย็นนั้นท้องฟ้าสีสวยมาก ๆ น่าจะเพราะพายุเฮอริเคนกำลังจะถล่มแคริเบียน (เดาล้วน ๆ) ประทับใจมากเดินไปทางไหนเจอแต่ฟ้าสีม่วงอมส้มอมชมพู และที่นี่เอง เราถูกโกงจ้า เพราะเพื่อนเราเข้าไปตัดผมในร้าน เราก็เลยออกมาเดินถ่ายรูปเล่นข้างนอกคนเดียว ซึ่งก่อนออกมาโดนเตือนแล้วว่าที่นี่อาจจะไม่ปลอดภัยสำหรับชาวต่างชาติ แต่เราลืมไปสนิททำให้ไปเดินเตร็ดเตร่อยู่คนเดียวระหว่างรอเพื่อน จู่ๆ มีผู้ชายคนนึง เดินเข้ามาหาเราพร้อมตะกร้าอุปกรณ์ขัดรองเท้า พยายามพูดอังกฤษกระท่อนกระแท่นเสนอขัดรองเท้าให้เราฟรี ๆ ย้ำนักหนาว่าฟรี เราพยายามปฏิเสธ เท่าไหร่นางก็ไม่ฟัง แล้วนางก็นั่งลงมาเริ่มขัดรองเท้าเราเฉย เราทั้งงงทั้งตกใจแต่คิดว่า เออ ไม่เป็นไรฟรี ตัดภาพไป นางขัดเสร็จสองข้าง จะเก็บเงินกับเรา แล้วก็โวยวายว่า ฟรีข้างเดียว อีกข้างไม่ฟรี เอ๊า อิหยังวะ เลยต้องวิ่งไปขอเงินเพื่อนมาจ่าย ร้องไห้ให้กับความซื่อของตัวเอง 5555 ปล. ถ้าเดินในเมือง อาชีพตะกร้าขัดรองเท้านี่ ยอดฮิตมากเลยนะจ้ะ หลอกเงินนักท่องเที่ยวมานักต่อนักแล้ว ซึ่งพลาซาตรงนี้พอตกเย็นจะกลายเป็นลานกิจกรรม ผู้คนจะออกมาชุมนุมกันทั้งประท้วง ร้องเพลงนมัสการพระเจ้าหรือเปิดหมวกแสดงดนตรี มากมาย คึกคักสุด ๆ ไปเลยค่ะ (เนื่องจากกลางวันร้อนไหม้ไปเลยจ้า ร้อนแสบกว่าบ้านเราเยอะมาก แง) นี่ล่ะค่ะ Santo Domingo ในมุมมองของเรา ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ผู้คนและบ้านเมือง สะท้อนผ่านการเดินทาง ถ้าเราเปิดใจมอง เราจะได้พบเห็นอะไรใหม่ ๆ จนเราคาดไม่ถึงเลยค่ะ เรื่องและภาพโดย ผู้เขียน