รีเซต

นั่งรถไฟเที่ยว สวิตเซอร์แลนด์ เยือนเมืองจักรยาน Zermatt พิชิตเขาน้ำแข็ง Matterhorn

นั่งรถไฟเที่ยว สวิตเซอร์แลนด์ เยือนเมืองจักรยาน Zermatt พิชิตเขาน้ำแข็ง Matterhorn
แมวหง่าว
11 มกราคม 2565 ( 18:35 )
46.9K

     คงมีเพียงไม่กี่แห่งบนโลกนี้ที่จะชวนให้เรารู้สึกอยากสูดลมหายใจให้เต็มปอด กรองเอาอากาศแสนบริสุทธิ์ให้ซึบซับในทุกอณูของร่างกาย หนึ่งในนั้นคงจะต้องเป็นที่เมือง “Zermatt” (เซอร์แมตส์) เมืองเล็กน่ารักที่อุดมไปด้วยมิตรไมตรี บนความสูง 1,620 เมตร บริเวณเชิงเขา Matterhorn (แมทเทอร์ฮอร์น) หนึ่งในยอดเขาที่สวยงามที่สุดของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ครับ 

 

 

เที่ยว Zermatt เมืองเล็กกลางหุบเขา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

 

Matterhorn ภูเขาที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดของสวิตเซอร์แลนด์

 

 

     ต้องท้าวความสักเล็กน้อยเกี่ยวกับยอดเขา Matterhorn พอได้ยินชื่อเราอาจไม่คุ้นเคย แต่ความจริงแล้วมันผ่านตาเรามาแบบนับครั้งไม่ถ้วน เพราะภาพของยอดเขานี้ถูกนำมาใช้เป็นสัญลักษณ์ของสินค้ามากมาย เช่น ลูกอม Ricola, ช็อคโกแลต Toblerone ไปจนถึงบริษัทภาพยนตร์ Paramount Pictures ด้วยความที่เป็นยอดเขาที่มีความสวยงามที่สุดในสวิส ทรงพีระมิดสูงเสียดฟ้ากว่า 4,478 เมตร มีหิมะปกคลุมตลอดทั้งปี จึงดึงดูดใจให้เหล่านักปีนผาต่างพากันมาเยือนมากมาย

 

รถไฟสาย Glacier Express รถไฟด่วนที่วิ่งช้าที่สุดในโลก

 

     แน่นอนว่าเมืองที่อยู่ใกล้เขา Matterhorn มากที่สุดก็คือเมือง Zermatt ที่เราจะพาคุณไปเที่ยวกันในครั้งนี้นั่นเองครับ โดยจะต้องเดินทางไปด้วยรถไฟสาย Glacier Express รถไฟด่วนที่วิ่งช้าที่สุดในโลก ที่จะแล่นผ่านภูมิประเทศที่งดงามของเทือกเขาแอลป์ วิ่งไปสุดสายที่เมือง Zermatt นั่นเอง แต่จะได้ชมความงามกันมากมายขนาดไหนนั้นขึ้นอยู่กับว่าคุณไปขึ้นชานชาลาที่เมืองไหนนั่นเอง ครั้งนี้เราขึ้นที่ชานชาลาของเมือง Tasch (ทาซ) ซึ่งเป็นเมืองเล็กที่อยู่ใกล้ Zermatt ครับ 

 

 

     การโดยสารรถไฟนับเป็นวิธีการเดียวที่จะขึ้นไปยัง Zermatt ได้ เพราะเมืองนี้ถูกจัดให้เป็นเมืองปลอดมลพิษ ไม่อนุญาตให้มีรถยนต์แล่นในเมือง (Car-Free Zone) ฉะนั้นการไปมาหาสู่กันเมื่ออยู่ใน Zermatt ก็จะมีแค่จักรยาน รถม้า รถไฟฟ้าคันเล็กๆ และเดินด้วยสองขาเท่านั้นเองครับ 

 

 

     รถไฟของประเทศนี้จะมาแบบตรงเวลาเป๊ะๆ ดังนั้นเผื่อเวลาทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อยแล้วรีบมารอบริเวณหน้าทางเข้ากันให้ดี โบกี้ก็กว้างขวางสะอาดสะอ้าน มีโซนที่นั่งแยกเป็นสัดส่วนดี ตู้โดยสารออกแบบมาเพื่อการชมวิวแบบพาโนรามาด้วยกระจกใสบานใหญ่  ถ้าใครไม่อยากพลาดชมวิวงามๆ สองข้างทางล่ะก็มายืนด้วยกันดีกว่า 

 

*หน้าตาของ Cog Wheel ฟันเฟืองที่วางอยู่กลางรางรถไฟ ช่วยฉุดดึงรถให้ไต่ระดับความสูงกว่า 1,000 เมตรได้นั่นเอง*

 

*เทียบท่าที่ Zermatt แล้ว มีป้ายต้อนรับภาษาไทยด้วย*

 

 

     Zermatt เป็นเมืองเล็กๆ ที่ยังคงรูปแบบของอาคารสิ่งก่อสร้างแบบเดิมๆ ไว้ ส่วนใหญ่สร้างด้วยไม้ มีตรอกซอยซอยเล็กๆ ให้เดินลัดเลาะผ่านมากมาย และมีความปลอดภัยสูงมาก ที่นี่มีประชากรอาศัยกันไม่มากเท่าไหร่ ประมาณ 6,000 คนเท่านั้น ด้วยความที่เมืองนี้เป็นเมืองท่องเที่ยว และสกีรีสอร์ทที่ใหญ่ที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์ อาชีพหลักของคนในเมืองจึงเป็นพนักงานโรงแรม และร้านอาหาร แต่แม้จะเป็นเมืองท่องเที่ยวเขาก็มีการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมต่างๆ ได้เป็นอย่างดีโดยให้มีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมาก เท่าที่เดินเล่นแค่ไม่กี่นาทีก็รับรู้ถึงอากาศที่สะอาดปลอดโปร่ง เชิญชวนให้สูดลมหายใจลึกๆ เป็นที่สุด 

 

zermatt ฤดูใบไม้ร่วง

 

     ช่วงที่เราเดินทางมานี้เป็นฤดูใบไม้ร่วงพอดี อากาศช่วงกลางวันกำลังเย็นสบาย แต่ตอนกลางคืนก็สยองพอดู ประมาณ -6 องศาเซลเซียส หากอยู่ภายในที่พักจะไม่มีปัญหาอะไร เพราะมีเครื่องทำความร้อนเปิดให้ความอบอุ่นอยู่แล้ว แม้อากาศจะไม่ชิลล์เท่าตอนเดินทางช่วงหน้าร้อน แต่ข้อดีคือเราจะได้เจอความงามของใบไม้เปลี่ยนสีพอดี รวมถึงมีโอกาสได้เล่นหิมะด้วยถ้าโชคดีพอ

 

 

     สิ่งที่เราจะเห็นเป็นภาพชินตาก็คือผู้คนที่อาศัยจักรยานเป็นพาหนะหลัก ที่สำคัญคือคนที่นี่น่ารัก เป็นมิตรกับนักท่องเที่ยวมากๆ ร้านรวงต่างๆ ในเมืองก็มีของที่สามารถหาซื้อเพื่อเป็นของที่ระลึกได้ ทั้งมีดพับสวิสอันเลื่องชื่อ นาฬิกาสวิสยี่ห้อดัง หรือช็อคโกแลตอร่อยๆ ที่รับรองว่าซื้อที่นี่ราคาถูกมาก (ถูกกว่า Duty Free แน่นอน) เหมาเยอะๆ คุ้ม นอกนั้นก็จะมีอุปกรณ์เพื่อการปีนเขา และเล่นสกีอีกมากมาย 

 

*ถ้าอากาศดีๆ มองจากลำคลองนี้ขึ้นไปจะเป็นยอดเขา Matterhorn พอดิบพอดี เสียดายที่วันนี้มีเมฆปกคลุมจนหนาตา และได้ข่าวว่าข้างบนมีพายุหิมะด้วย*

 

 

     จาก Zermatt เราก็จะนั่งเคเบิ้ลคาร์ (Matterhorn Express gondola) ของบริษัทเอกชน Zermatt Bergbahnen AG เป็นสถานีเคเบิ้ลคาร์ที่สูงที่สุดในยุโรปที่ระดับความสูง 3,820 เมตร เพื่อไปชมยอดเขา Matterhorn แบบใกล้ชิดเต็มตา เคเบิ้ลคาร์เปิดให้บริการตั้งแต่ 07.30-16.00 โดยประมาณ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาที 

 

     ใครที่ซื้อตั๋วแล้วขอให้เก็บรักษายิ่งชีพครับ เพราะการจะขึ้นไปยังสถานีชั้นบนสุดที่ชื่อว่า สถานี Klein Matterhorn (ไคลน์ แมทเทอร์ฮอร์น) นั้น จะต้องแวะสถานีระหว่างทางอีก 2 สถานี แต่ละสถานีจะต้องใช้ตั๋วใบเดิมนี้ในการผ่านประตูทั้งขาไป-กลับ 

 

 

     เริ่มนั่งกระเช้าจากสถานีแรก มองย้อนกลับมาด้านหลังจะสังเกตได้ชัดเจนว่าเมือง Zermatt นั้นอยู่ท่ามกลางเทือกเขาแอลป์จริงๆ ยิ่งขึ้นสูงไปเรื่อยๆ สภาพภูมิประเทศก็จะเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นภูเขาหิมะ และธารน้ำแข็ง มองไปยิ่งหวั่นใจ ว่าท่าทางวันนี้เราคงไม่มีโอกาสได้เห็นยอดเขา Matterhorn เสียแล้ว วันนี้มีพายุหิมะพัดแรงเหลือเกิน

 

*แวะเปลี่ยนกระเช้าใหญ่กว่าเดิม ณ สถานีที่สอง*

 

 
     สถานี Klein Matterhorn เป็นสถานีสุดท้ายของที่นี่ ซึ่งสร้างโดยใช้สายเคเบิ้ลยึดกับแผ่นน้ำแข็ง จากจุดนี้จะสามารถเดินทางไปยังจุดชมวิวแบบพาโนรามา และถ้ำน้ำแข็ง Glacier Palace ระหว่างทางจะมีห้อง Cinema Lounge ให้เรานั่งชมวีดีทัศน์บอกเล่าเรื่องราวของสถานีนี้ เรื่องสำคัญอีกอย่างคือปีนี้ (2015) เป็นปีที่ครบรอบ 150 ปีที่ เอ็ดเวิร์ด วิมเปอร์ นักปีนเขาชาวอังกฤษพิชิตยอดเขา Matterhorn สำเร็จเป็นครั้งแรกด้วย

 

 

     จุดชมวิวพาโนรามา Panorama Platform ถ้าในยามปกติเราจะมีโอกาสมองเห็นยอด Matterhorn แบบเต็มตา พร้อมกับเทือกเขาน้อยใหญ่อีกมากมาย ณ จุดนี้ ส่วนตอนนี้เราคงทำได้เพียงนั่งกินหิมะ และถ่ายรูปเล่นกันไป 

 

 

     หลบความหนาวเย็นแวะมานั่งพัก หาอะไรอุ่นๆ จิบในห้องอาหารแล้ว จะเหลืออีกจุดหนึ่งให้เราได้ชม คือ Glacier Palace เป็นถ้ำน้ำแข็งอายุกว่า 1,000 ปี ที่ขุดเจาะเข้าไปให้พวกเราได้ไปสัมผัสอย่างใกล้ชิด ข้างในก็น่าจะถูกใจคนที่ชอบถ่ายรูปเพราะมีน้ำแข็งแกะสลักสวยๆ มากมายให้ได้ชม 

 

 

     กลับลงมาถึงข้างล่างแล้ว หากยังพอมีเวลาก่อนเข้าที่พักก็สามารถเดินช็อปปิ้งตามอัธยาศัยกันได้อีกสักหน่อย แต่ที่นี่แค่ประมาณหกโมงเย็นร้านรวงก็เริ่มทยอยปิดกันแล้ว เตรียมตัวกลับบ้านไปพักผ่อนกับครอบครัว เป็นวิถีชีวิตที่คนในเมืองกรุงคงไม่คุ้นเคยสักเท่าไหร่  

 

 

     การได้มาเยือนเมือง Zermatt ในครั้งนี้เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการที่จะอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างกลมกลืน ยิ่งโลกเราเจริญก้าวหน้ามากขึ้นเท่าใด ยิ่งต้องรักษาสิ่งแวดล้อมให้คงอยู่ต่อไป เพราะอย่าลืมว่าหากธรรมชาติขาดคน ธรรมชาติก็ยังคงอยู่ได้ แต่ถ้าคนขาดธรรมชาติเมื่อไหร่ เราอยู่ไม่ได้แน่นอน เมืองเล็กๆ อย่าง Zermatt นี้ จึงเป็นตัวอย่างที่ดีให้เราเห็นว่า แม้จะเป็นเมืองท่องเที่ยวก็ตาม หากมีวิธีการบริหารจัดการที่ดี ผู้คนรู้จักความเพียงพอ และมีจิตสำนึกร่วมกัน เราก็สามารถอยู่ได้โดยไม่จำเป็นต้องเบียดเบียนธรรมชาติครับ 

====================

ตามติดเทรนด์เที่ยว อัพเดทที่พักสวย
แชร์ทริปสุดชิล โพสต์ภาพสุดปัง ของคุณได้แล้วที่ แอปทรูไอดี
คลิกเลย >> TrueID Travel Community <<