เมื่อพูดถึงเมืองน่าน ผู้คนที่ได้ยินกิตติศัพท์ ความสวยงามของบ้านเมือง อาคาร สถานที่แล้วต้องประทับใจทุกคน แม้จะแค่ไปเดินเที่ยวเฉย ๆก็ตาม หลายคนอาจได้ยินสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆของจังหวัดน่าน สถานที่เช็คอิน หมู่บ้านชนบท หรือวัดต่าง ๆ ก็ตาม ทั้งที่ได้ยินจากปากของผู้คน การรีวิวต่าง ๆในโซเชียล เมื่อมาแล้วมักไม่ผิดหวัง มีแต่บอกว่าเวลาน้อยเกินไปแทบทุกคน สถานที่หนึ่งซึ่งเป็นที่ท่องเที่ยวมีชื่ออันดับต้น ๆ ของเมืองน่าน ซึ่งอยู่แค่ปลายจมูกเมื่อมาถึงจังหวัดน่านคือ ข่วงเมืองน่าน นั่นเอง เพราะเมื่อเดินทางมาถึงจังหวัดน่านแล้ว หากมาในช่วงเย็น วันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ และหาที่พักในเมืองเสร็จแล้ว เมื่อพระอาทิตย์ลับเหลี่ยมโลก มีแสงไฟสว่างขึ้น กลางใจเมืองแล้ว ความคึกคักก็เริ่มก่อตัวขึ้นที่กลางเมือง ถนนบริเวณข่วงเมืองข้างวัดภูมินทร์ จะถูกปิดกั้นไม่ให้มีรถยนต์แล่นผ่าน ซึ่งจะมีกิจกรรมถนนคนเดิน ในวันดังกล่าว ..... สองฝากฝั่งถนน จะเติมไปด้วยสินค้าหลากชนิด เสื้อผ้า ของกิน ลานขันโตก และดนตรีขับกล่อม ผู้คนที่ไม่เคยมาเยือนจังหวัดน่าน ก็รู้สึกตื่นเต้น และตระการตาไปกับความหลากหลายของสินค้านานาชนิด ถ้าเป็นเสื้อผ้า ก็จะเป็นเสื้อผ้ากระซิบรัก ณ น่าน มีรูปกระซิบรักซึ่งเป็นซิกเนเจอร์ของจังหวัด สกรีนลายอยู่บนเสื้อผ้าอย่างสวยงาม ดึงดูดสายตาผู้คนให้จับจ่ายใช้สอยและอุดหนุนสินค้ากันอย่างเนืองแน่น.....โดยเฉพาะเสื้อยืด ขายดีมาก ราคาก็ไม่แพงแค่ 100-120 บาทเท่านั้น หนุ่มสาวที่เป็นแฟนกัน ข้าวมันปลาใหม่ ก็สามารถซื้อเสื้อคู่ ดูไม่จืด ไปสวมใส่เพื่อเป็นสัญลักษณ์ให้ความรักที่ทั้งคู่มีต่อกัน... ไม่เพียงแต่เสื้อยืด หรือเสื้อผ้าฝ้ายผ้าทอที่มีสำหรับสวมใส่เท่านั้น ยังมีผ้าซิ่น กระเป๋า ผ้าพันคอ เครื่องประดับต่าง ๆ ที่ปัก หรือสกรีนเป็นรูปกระซิบรักบันลือโลก และถ้าเป็นรูปภาพซึ่งเป็นศิลปะแบบบ้าน ๆ ก็มีขายให้กับนักท่องเที่ยวเอาไปประดับบ้านได้อย่างสวยงามอีกด้วย อาหารการกินต่าง ๆ ก็บริบูรณ์อย่างยิ่ง เรียกว่าถ้ามีเงินพกไป 100 บาท ก็จะรักพี่เสียดายน้อง เดินไปเห็นยำหมี่ก็รู้สึกเปรียวปากขึ้นมาตะหงิด ๆ แล้ว ผ่านไปอีกหน่อยจะเห็นใส้อั่ว ของดีขึ้นชื่อเมืองน่าน ใครไปมาก็ต้องซื้อไปฝากที่บ้านญาติสนิทมิตรสหาย เป็นของฝากที่อิ่มท้อง อิ่มใจทั้งผู้ให้และผู้รับ แต่เมื่อเราได้กลิ่นหอมที่โชยมาแตะจมูกก็อดที่จะซื้อไปกินกับข้าวเหนียวนึ่งไม่ได้.... เดินไปอีกหน่อย มีหมูทอดติดมันเสียบไม้อันโต ชิ้นละ10 บาทเข้าอีก ก็ไม่วายต้องจัดซักชิ้นสองชิ้น .... แกงแคไก่ อาหารพื้นบ้านของชาวน่านก็นำมาขายทุกสัปดาห์ ขายดิบขายดี และยังมีแอปไข่ปลา ลักษณะเหมือนห่อหมกราคาแค่ 20 บาทวางขายให้ผู้คนได้ซื้อหาไปรับประทานทั้งที่บ้าน และที่บริเวณลานขันโตกของข่วงเมืองน่าน หน้าวัดภูมินทร์ และก่อนที่จะไปนั่งกินที่ลานขันโตก ก็ต้องแวะไปหาของหวาน เช่น เครปสายรุ้งหลากสี ขนมบัวลอย แม้แต่ขนมโตเกียวรสชาติที่ไม่เหมือนกับที่เราเคยกิน ก็มีคนไปมุงรอซื้อกันมากมาย.... โดยเฉพาะเครปสีรุ้งหลากสีมีลวดลายที่แต่งเติมกันแบบไม่ซ้ำ เมื่อลูกค้าซื้อไปแล้วก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ด้วยความภาคภูมิใจ เจ้าของร้านก็จะถ่ายรูปเก็บไว้พร้อมกับหน้าตาลูกค้าที่บ่งบอกถึงความสุข และขออนุญาตแชร์ลงใน FACEBOOK ที่เป็นเพจของร้านที่ลูกค้าสามารถจะไปโหลดรูปสวย ๆได้อีกด้วย.... หลังจากได้ของกินมากมายหลายชนิดแล้ว ก็ต้องหาที่นั่งกิน นั่นคือลานขันโตก บริเวณหน้าวัดภูมินทร์ เป็นลานขนาดกว้างสามารถจุผู้คนได้ไม่ต่ำกว่า 500 คนในแต่ละวัน ถาดขันโตกที่ใช้วางอาหารสำหรับนั่งกิน ก็มีบริการวางไว้ในลาน ซึ่งถาดขันโตกได้จัดวางบนเสื่อผืนยาวสำหรับนั่งอีกชั้นหนึ่ง ผู้คนนำอาหารหวานคาวไปนั่งกินอย่างเอร็ดอร่อย ..... ส่วนที่ทำให้บรรยากาศครึกครื้นขึ้นไปอีกก็คือ วงดนตรีที่เล่นในลานขันโตก ทุกวันศุกร์เสาร์ อาทิตย์ จะมีวงหมุนเวียนเปลี่ยนหน้ากันมาให้ความบันเทิง ทำให้ค่ำคืนวันหยุดสุดสัปดาห์ ไม่เงียบเหงา .... ทั้งยังมีดนตรีเปิดหมวกของนักเรียนนักศึกษาที่มาเล่นหาเงินค่าเทอมค่าขนม โดยไม่ต้องพึ่งพาผู้ปกครองเป็นการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์อีกทางหนึ่ง ก่อนจะสิ้นสุดทางเดินยามค่ำคืนเมื่อเดินกลับเข้าสู่ที่พำนัก หากเดินย้อนกลับจากสี่แยกวัดช้างค้ำ ซึ้งอยู่ตรงข้ามวัดภูมินทร์เดินทางจากสี่แยกถนนดังกล่าวย้อนกลับมาสิ้นสุดที่ศาลาทำบุญวัดภูมินทร์ที่อยู่ด้านหลังเดินทะลุมาทางด้านถนนหน้าเรือนจำจะพบ ดนตรีอิเลคโทนเปิดหมวก บรรเลงเพลงวงสุนทราภรณ์ เพลงสมัยรุ่นคุณลุงอย่างผม เล่นเพลงช่ะช่ะช่า วงของครูเอื้อ สุนทรสนาน อย่างไพเราะเสนาะหู มีหางเครื่องสาวรุ่นเดอะเขย่าแทรมโพลีน ประกอบจังหวะ ได้อย่างน่าเอ็นดู ทำให้จบทริปข่วงเมือน่านได้อย่างสมบูรณ์ในค่ำคืนนั้น.....