ทำไมต้องไป "ภูกระดึง" หลายคนคงสงสัยว่าทำไมเราต้องเดินทางไปเที่ยวในสถานที่แห่งนี้ ที่นี่มีแต่ป่า เขา และสัตว์ป่า แถมยังมีน้องทากุ(ทาก) อยู่เต็มป่าคอยแต่จะกินเลือดของนักท่องเที่ยว จากข้อความข้างต้นหลายคนคงถอดใจ และไม่อยากมา วันนี้ผมจะพาทุกคนไปรู้จักภูกระดึงและจะพาทุกคนหาเหตุผลไปพร้อมกันว่าว่า ทำไมเราต้องเดินทางไปที่ภูกระดึง 1.รอยยิ้มและมิตรภาพระหว่างทาง คงปฏิเสธไม่ได้เลยครับว่าเสน่ห์ของการขึ้นภูกระดึงสิ่งแรกที่ต้องเจอเลยคือ มิตรภาพระหว่างทาง ผู้คนที่ไม่รู้จัก ต่างพากันมาอยู่ในจุดเดียวกัน บางคนมาคนเดียว บางคนมาเป็นคู่ บางคนมาเป็นครอบครัว แต่จุดหมายของทุกคนเหมือนกัน คือการพิชิตยอดภูกระดึง ในระหว่างที่เดินทางนักท่องเที่ยวจะได้เดินสวนกับผู้คนมากมาย ทั้งที่กำลังเดินขึ้น และเดินกลับลงมา สิ่งที่น่าสนใจคือในการเดินทาง ต่อให้คุณมาเพียงคนเดียว คุณก็จะไม่เหงา เพราะนักท่องเที่ยวทุกคนจะทักทายกันตลอดเส้นทาง ต่อให้คุณไปคนเดียว ก็ไม่มีทางเหงานแน่นอนครับ 2.ความท้าทาย การเดินทางไปภูกระดึงนั้นเหมือนการพิสูจใจตัวเองว่าเราจะสามารถก้าวผ่านอุปสรรค์ไปได้หรือไม่ หลายคนคิดว่า การไปภูกระดึงมีอุปกรรค์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นระยะทาง ที่ค่อนข้างไกลและลาดชัน สภาพอากาศที่หนาวเย็น ที่พัก ที่อาบน้ำ และอื่นๆ สิ่งที่กล่าวมาข้างต้น เป็นเพียงความคิดของคนที่ไม่เคยได้ขึ้นไปสัมผัสภูกระดึง นักท่องเที่ยวหลายคนที่ได้เคยไปสัมผัสต่างบอกว่า การไปภูกระดึงเป็นการท้าทายความสามารถของตัวเอง สิ่งที่ได้กล่าวมาข้างต้นถือเป็นอุปสรรค์ที่ธรรมชาติให้เราได้พิสูจตัวเองว่าจะทำได้หรือไม่ ก้าวผ่านไปได้หรือไม่ เมื่อท่านก้ามผ่านอุปสรรค์เหล่านี้ไปได้ หลังจากกลับลงภูกระดึง ท่านจะเกิดความเปลี่ยนแปลงในการใช้ชีวิต และแนวคิดในการจัดการอุปสรรค์ต่างๆแน่นอน 3.ลูกหาบสุดแกร่ง ลูกหาบ คือกลุ่มคนที่แบกสัมภาระขึ้นไปบนภู นักท่องเที่ยวท่านใดที่ไม่สามารถแบกกระเป๋าหรือสัมภาระขึ้นไปได้ สามารถจ้างลูกหาบได้ครับ น้ำหนักของลูกหาบแต่ละคนก็ต่างกัน บางคนหาบ 10กิโล ไปจนถึง 80กิโล ก็มี โดยขั้นตอนก็คือ ก่อนขึ้นภูให้เราไปที่จุดชั่งน้ำหนัก สำหรับน้ำหนักสัมภาระ 1กิโล ต่อ 35 บาท และซื้อใบแทรคติดกระเป๋าเพื่อป้องกันการสูญหาย หรือสลับกันกับของคนอื่น ประมาณใบละ 20 บาท เมื่อเสร็จแล้วเราก็ขึ้นภูกระดึงได้เลยครับตัวเบาสบาย พี่ๆลูกหาบเค้าจะไปถึงช้ากว่าเราหน่อย (บางครั้งก็ถึงเร็วกว่า) แต่เมื่อถึงเค้าจะโทรหาเราครับ เสน่ห์ของลูกหาบอยู่ตรงที่ ความอึด ตลอดทางเราจะเจอลูกหาบที่แบกสัมภาระเดินในเส้นทางเดยวกับเรา พอได้ถามเรื่องนี้หนักที่แบกอยู่บนบ่านักท่องเที่ยวหลายคนต่างตกใจไปตามๆกันกับคำตอบ บ้าง 30กิโล ไปจนถึง 80กว่ากิโล และตลอดเส้นทางที่เราเดินทางผ่านลูกหาบจะมีเสียงเพลงจากลำโพงของลูกหาบให้เราฟังตลอดทาง เสมือนว่า เสียงเพลงคือเพื่อนของลูกหาบ ยังไงถ้านักท่องเที่ยวเจอลูกหาบก็อย่าลืมหลีกทางให้พี่ๆเค้าไปก่อนนะครับ ผมลองเทสน้ำหนักมาแล้ว หนักมาก 4.ถึงด้านบนแล้วไปไหนต่อ เมื่อถึงด้านบนภูกระดึงแล้ว จุดแรกที่จะไปถึงเลยคือ หลังแป และต้องเดินเท้าอีกประมาณ 3 กิโล เพื่อไปที่พัก ในวันแรกที่มาถึงส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวจะไปดูพระอาทิตย์ตกกันที่ผาหมากดูก ซึ่งสวยมาก และถือเป็นไฮไลท์อีกที่หนึ่ง ที่คนมาภูกระดึงต้องได้มา วันถัดมาเราสามารถวางแผนการท่องเที่ยวได้ไม่ยากนัก เพราะที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวมีแผนที่จุดสำคัญและน่าเที่ยวให้ได้วางแผนและออกเดินทาง โดยหลักๆสถานที่ท่องเที่ยวจะมี3 รูปแบบคือ เส้นทางหน้าผา เส้นทางน้ำตก และเส้นทางป่าปิด เส้นทางหน้าผา ผาหล่มสัก, ผาแดง, ผาเหยียบเมฆ, ผานาน้อย, ผาจำศีล และผาหมากดูก เส้นทางน้ำตก กวังกวาง, น้ำตกเพ็ญพบใหม่, น้ำตกโผนพบ, น้ำตกเพ็ญพบ, น้ำตกถ้ำใหญ่ และน้ำตกธารสวรรค์ เส้นทางชมป่าปิด เป็นเขตป่าดงดิบที่เปิดให้เข้าชมในช่วงฤดูแล้งเท่านั้น ซึ่งการจะเดินไปเยี่ยมชมเส้นทางนี้จำเป็นต้องสอบถามเจ้าหน้าที่ เพราะเสี่ยงต่อการหลงทางและได้รับอันตรายจากสัตว์ป่า 5.สัมผัสทะเลหมอกแบบใกล้ชิด ถ้ามาภูกระดึงยังไงคุณก็จะไม่มีทางพลาด คุณจะได้เจอกับทะเลหมอกแน่นอน แถมวันไหนฝนตกหนักๆ หมอกอาจจะลงหนาบริเวณที่พักจนถึงเวลา 11.00น. เรียกว่าไม่เห็นตะวันกันเลยทีเดียว ใครชอบหมอกต้องไม่พลาดการมาภูกระดึงแน่นอนครับ สำหรับใครที่สนใจเดินทางไปภูกระดึง และกำลังหาราคาที่พักต่างๆเวลาทำการบนภูกระดึง ข้อมูลด้านล่างเลยนะครับ เต็นท์ (ราคาเฉพาะเต็นท์อย่างเดียวไม่รวมเครื่องนอน) 1. เต็นท์โดม มีบริการ 400 เต็นท์ พักได้เต็นท์ละ 3 คน ราคา 225 บาท/คืน 2. เต็นท์โดมใหญ่ มีบริการ 40 เต็นท์ พักได้เต็นท์ละ 6 คน ราคา 450 บาท/คืน 3. เต็นท์เคบิ้น มีบริการ 40 เต็นท์ พักได้เต็นท์ละ 6 คน ราคา 450 บาท/คืน เครื่องนอนเต็นท์ 1. ถุงนอน มีบริการ 750 ถุง ราคาถุงละ 30 บาท/คืน 2. ที่รองนอน มีบริการ 640 ผืน ราคาผืนละ 20 บาท/คืน 3. หมอน มีบริการ 718 ใบ ราคาใบละ 10 บาท/คืน หมายเหตุ 1. กรณีนำเต็นท์ไปเองหรือเช่าเต็นท์ของเอกชน ต้องเสียค่าบริการสถานที่กางเต็นท์ คนละ 30 บาท/คน/คืน 2. กรณีเกิดความเสียหายผู้เช่า จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมด ที่พักแรม/บ้านพัก - ด้านบนยอดภูกระดึง มี บ้านพักให้บริการแก่นักท่องเที่ยว บนยอดภูกระดึง เป็นบ้านพักโซนที่ 1 มีทั้งบ้านเดี่ยว และบ้านเรือนแถว ก่อนทำการสำรองที่พักควรดูผังบริเวณที่พักก่อน โดยคลิดที่เมนู "ที่พัก-บริการ" เพื่อจะได้สำรองที่พักได้ตามที่ต้องการ บ้านภู กระดึง 105 หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า บ้านอัมพวา มีขนาด 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ พักได้ 8 คน มีเครื่องนอน, เครื่องทำน้ำอุ่น ราคา 2,400 บาท/คืน บ้าน ภูกระดึง 110 หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า บ้านเทียนน้ำ เป็นบ้านเรือนแถว มีขนาด 5 ห้องนอน ห้องน้ำรวม มีเครื่องนอน ไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น พักได้ 6 คน/ห้อง ราคา 900 บาท/คืน/ห้อง ลานกางเต็นท์ - ด้านบนยอดภูกระดึง อุทยานแห่งชาติจัดเตรียมสถานที่กางเต็นท์ ไว้ให้บริการนักท่องเที่ยว บนยอดภูกระดีง สามารถรองรับได้ประมาณ 5,000 คน ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว - ด้านบนยอดภูกระดึง มี ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว บนยอดภูกระดึง ให้บริการข้อมูลเกี่ยวกับอุทยานแห่งชาติ นักท่องเที่ยวสามารถเข้ามาขอรับบริการข้อมูลได้ทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดราชการ ระหว่างเวลา 8.00 - 16.30 น. ด้านหลังศูนย์บริการนักท่องเที่ยวมีอาคารรับสัมภาระ (สัมภาระที่ผู้ใช้บริการจ้างแบกหามขึ้นภูกระดึง) ห้องน้ำ ห้องสุขา และศาลานั่งพักผ่อน มีบริการชาร์ตแบต 20บาท สุดท้าย อยากเชิญชวนนักท่องเที่ยวทุกคนมาร่วมสัมผัสบรรยากาศธรรมชาติแบบใหม่ๆที่ไม่ใช่ในห้าง หรือในเมือง อยากให้ทุกท่านที่เหนื่อยจากการทำงาน มาลองอยู่กับธรรมชาติจริงๆสักครั้ง แล้วจะรู้ว่า อ้อมกอดของธรรมชาติ อบอุ่นและให้พลังงานกับชีวิตมากแค่ไหน ตำแหน่งที่ตั้งภูกระดึงและเวลาเปิดปิด อุทยานตั้งอยู่ในท้องที่ตำบลศรีฐาน อ.ภูกระดึง จ.เลย ครอบคลุมพื้นที่ 348.12 ตารางกิโลเมตร (217,575 ไร่) ลักษณะภูมิประเทศเป็นภูเขาหินทรายยอดตัด โดยมีที่ราบบนยอดภูกระดึง ประมาณ 60 ตารางกิโลเมตร (37,500 ไร่) มีความสูงอยู่ระหว่าง 400-1,200 เมตรจากระดับน้ำทะเล จุดสูงสุดอยู่ที่บริเวณคอกเมย มีความสูง 1,316 เมตร สำหรับการเดินทางขึ้นภูกระดึงนั้น ทางอุทยานฯ จะอนุญาตให้นักท่องเที่ยวเดินขึ้นได้ตั้งแต่เวลา 07.00 – 14.00 น. ของทุกวัน และหลังจากเวลา 14.00 น. เป็นต้นไป ทางอุทยานฯ จะไม่อนุญาต เพราะระยะทางในการเดินทางขึ้นเขาต้องใช้เวลาในการเดินเท้า ประมาณ 4-5 ชั่วโมง ซึ่งจะตรงกับเวลาพลบค่ำในระหว่างทาง ดังนั้น อาจจะทำให้เกิดความยากลำบาก อีกทั้งอาจได้รับอันตรายจากสัตว์ป่าที่ออกหากินในเวลากลางคืนอีกด้วย