วันนี้ตั้งใจจะไปดูของดีที่แอบซ่อนในตัวเมืองแม่ฮ่องสอน และเป็นความโชคดีที่โรงแรมมีจักรยานให้ยืมใช้ฟรี ขาปั่นสไตล์เนิบ ๆ อย่างผมจึงไม่รอช้า ขอลองกำลังขาปั่นชมตัวเมืองแม่ฮ่องสอนสักหน่อยว่ามีอะไรให้ได้ชื่นชมเป็นบุญตาบ้าง ด้วยความที่ชอบงานด้านสถาปัตยกรรม ประวัติศาสตร์และวิถีชุมชน สถานที่ที่จะไปก็คงไม่เกินแนวนี้ จึงได้ปักหมุดคร่าว ๆ ตามลำดับความสนใจ เริ่มต้นจากกึ่งกลางเมืองก่อนและเป็นจุดเริ่มต้นแรกของมงคลชีวิต คือ วัดจองคำพระอารามหลวง วัดแห่งแรกของเมืองแม่ฮ่องสอน สร้างขึ้นเมื่อ 200 กว่าปีที่แล้ว โดยมีศาลาการเปรียญที่มีหลังคาทรงประสาท 9 ชั้นเป็นจุดโดดเด่นสะดุดตาและวิหารประดิษฐานหลวงพ่อโต พระพุทธรูปในแบบศิลปะพม่าองค์ใหญ่ที่สุดของแม่ฮ่องสอนที่ช่างชาวพม่าสร้างขึ้นเมื่อ 86 ปีก่อน ต่อด้วยวัดจองกลางแสนโดดเด่นพระเจดีย์ในแบบพม่าและวิหารที่หลังคามุงด้วยสังกะสีฉลุลวดลาย โดยช่างฝีมือชาวไตใหญ่ ด้านในฝั่งทิศตะวันออกติดภาพประดับฝาผนังไว้ 180 ภาพซึ่งวัดโดยศิลปินชาวพม่า ผมว่าทั้ง 2 วัดนี้ แม้จะไม่ได้เข้าไปชมด้านในทั้งหมด เพียงแต่เห็นภาพวัดสะท้อนในหนองจองคำ ก็ประทับใจแล้วครับ ดูงดงามสมสง่าเลอค่างานช่างฝีมือศิลปะไตใหญ่จริง ๆ จากนั้นก็ปั่นซอกแซกไปตามชุมชน อ้อมไปอ้อมมาอยู่ไม่นานก็มาถึงต้นโพธิ์ใหญ่และเนินสำหรับปั่นขึ้นไปสวนสาธารณะ เจอแม่ค้าขายเห็ดถอบที่เพิ่งออกใหม่ ๆ และจิ้นส้มย่าง จึงอุดหนุนไปพออิ่ม จากนั้นจึงเดินไปที่อนุสาวรีย์พญาสิงหนาทราชาเจ้าเมืองแม่ฮ่องสอนคนแรก ที่ผมถือเป็นธรรมเนียมว่า มาถึงบ้านเมืองใครก็ต้องไปรายงานตัวให้เขาทราบ เผื่อจะได้คำชี้แนะและการคุ้มครองตลอดระยะเวลามาพักอาศัย ตามประวัติบอกว่าท่านเป็นคนเชื้อสายไตใหญ่ จากเมืองจาม รัฐฉาน ประเทศเมียนมาร์ เมื่ออพยพครอบครัวไปอยู่ที่บ้านกุ๋นยวม ในประเทศไทยได้รับการยกเป็นเจ้าเมืองขุนยวมคนแรกนานถึง 8 ปี และได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองแม่ฮ่องสอนอีก 10 ปี พออายุได้ 58 ปี ท่านก็ถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ. 2427 จากนั้นก็ปั่นจักรยานเข้าไปในเขตวัดก้ำก่อหรือวัดดอกบุนนาค ยืนมองดูสิงห์คู่ตัวใหญ่สีขาวในแบบไตใหญ่และยกมื้อไหว้เจดีย์องค์ขนาดย่อม พร้อมกับยืนชมซุ้มทางเดินฉลุลานสังกะสีหลังคาซ้อนกันเป็นชั้น ๆ และวิหารไม้ที่สวยงามสีแดงชาด นับว่าเป็นอีกวัดหนึ่งที่มีความเก่าแก่ไม่แพ้วัดอื่น ๆ เพราะสร้างขึ้นตั้งแต่แต่ พ.ศ. 2433 ต่อด้วยจูงจักรยานข้ามไปอีกฝากของถนน เพื่อเข้าไปกราบไหว้สักการะพระพุทธไสยาสน์ พระปางประจำวันคนเกิดวันอังคารที่วัดพระนอน นี่ก็เป็นหมุดหมายหนึ่งที่เลือกมาที่วัดนี้เพราะตัวเองเกิดวันอังคารนั่นเอง ออกจากศาลาวัดพระนอน เงยหน้าขึ้นมองไปบนยอดเขา เห็นแสงเริ่มอ่อน คาดว่าพระอาทิตย์น่าจะจวนตกแล้ว จึงรีบปั่นจักรยานไปจุดที่เป็นบันไดทางเดินขึ้นไปบนวัดพระธาตุดอยกองมู ซึ่งอยู่ด้านข้างวัดม่วยต่อนั่นเอง โดยบันไดขึ้นทำเป็นแบบสลับฟันปลา ทำให้เดินได้เรื่อย ๆ เหนื่อยพอทนได้ เมื่อผ่านนาคและสิงห์คู่สีทอง ก็ถึงนาคและสิงห์คู่สีขาวยืนเฝ้าตรงสุดบันไดทางขึ้นก่อนถึงตัวพระเจดีย์ ในที่สุดก็มายืนอยู่ในจุดที่เรียกว่าเป็นสุดยอดไฮไลต์ของการมาเยือนเมืองแม่ฮ่องสอนจนได้ วิวบนนี้สวยมาก ยิ่งมองออกไปไกล ๆ เห็นป่าเขียวขจีและภูเขาซ้อนทับสลับแนวจนสุดสายตา ยิ่งมีความงดงามเป็นพิเศษ ที่สำคัญคือได้มองเห็นตัวเมืองแม่ฮ่องสอนและจุดที่ปั่นจักรยานไปเที่ยวมาทั้งหมดเลย วัดพระธาตุดอยกองมูนี้ ถือว่าเป็นวัดประจำเมืองจังหวัดแม่ฮ่องสอนมาช้านาน มีพระธาตุคู่สีขาวทรงเครื่องแบบมอญ สวยสง่าอยู่ด้านบน องค์ใหญ่สร้างโดยพ่อค้าชาวไตใหญ่ชื่อจองต่องสู่ เมื่อ พ.ศ. 2403 เป็นที่บรรจุพระธาตุของพระโมคคัลลานะเถระนำมาจากประเทศเมียนมาร์ พระธาตุเจดีย์องค์เล็กสร้างเมื่อ พ.ศ. 2417 โดย พญาสิงหนาทราชา เจ้าเมืองแม่ฮ่องสอนคนแรกนั่นเอง ก่อนกลับผมเอาพวงมาลัยไปคล้องที่สิงห์เสื้อพระธาตุ ซึ่งตั้งอยู่ที่มุมฐานพระธาตุทั้งสี่ทิศ เพราะตามคติล้านนาโบราณนับถือว่าเป็นสิงห์ที่คอยปกป้องดูแลคุ้มครองรักษาพระธาตุและผู้คนที่มาทำบุญ เพื่อให้ท่านได้ช่วยคุ้มครองและดูแลคนต่างบ้านต่างเมืองอย่างผมเพิ่มมาอีกสักคน แล้วจึงไปนั่งที่ศาลาชมวิวเมืองแม่ฮ่องสอนยามค่ำ พร้อมกับยกนาฬิกาจับเวลาที่ข้อมือขึ้นมาดู.... “นี่มัน 100 นาทีพอดีเลยนะนี่ อะไรจะปานนั้น” พิกัดที่ตั้ง : อ.เมืองแม่ฮ่องสอน จ.แม่ฮ่องสอน วันเวลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 06.00-17.00 น. ภาพประกอบทั้งหมดถ่ายโดยผู้เขียน : อนุญาตให้ใช้เพื่อการศึกษาได้ฟรี