หลังจากวันแรกในกรุงฟลอเรนซ์ผ่านไปอย่างทุกลักทุเลด้วยอิทธิพลของสายฝนและลมพายุที่เทลงมาอย่างหนัก ส่งผลให้ “ป้านวล” จำเป็นต้องล้มแผนการเดินทางทั้งหมดแล้วกลับมาที่พักเพื่อตั้งหลัก และปรึกษากับเจ้าของที่พักสำหรับการเดินทางในวันถัดไป ซึ่งโปรแกรมถูกวางไว้ ณ เมืองปิซ่า หนึ่งในแลนด์มาร์คสำคัญของแคว้นตอสกานานั่นเอง เมืองปิซ่า อยู่ห่างจาก เมืองฟลอเรนซ์ซึ่งเป็นศูนย์กลางของแคว้นตอสกานาไปทางทิศตะวันตกของเมืองฟลอเรนซ์ราว ๆ 85 กิโลเมตร นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางได้หลากหลายช่องทาง แต่ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือรถไฟ “Italiarail” ซึ่งออกทุก ๆ 25 นาทีตั้งแต่เที่ยงวันยันเที่ยงคืน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 50 นาที สนนราคาค่าตั๋วโดยสารอยู่ที่ 10 ยูโรเท่านั้น ดังนั้นหากนักท่องเที่ยวท่านใดต้องการมาเที่ยวหอเอนปิซ่าหรือมหาวิหารปิซ่าดูโอโม่ควรมาตั้งต้นที่เมืองฟลอเรนซ์จะดีที่สุด อย่างไรก็ดีสิ่งที่ทำให้ป้าเป็นกังวลมากที่สุดในเวลานี้คือสภาพอากาศของเมืองปิซ่าที่ยากจะคาดเดา เนื่องจากเมืองนี้ตั้งอยู่บริเวณที่ราบลุ่มปากแม่น้ำอาร์โนซึ่งห่างจากชายฝั่งทะเลลิกูเรียนเพียง 10 กิโลเมตรเท่านั้น ส่งผลให้เมืองนี้มักจะได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมอยู่เป็นประจำ ครั้นจะใช้เครื่องมือสื่อสารตรวจสอบสภาพอากาศป้าก็ทำไม่เป็น จึงขอให้เจ้าของอพาร์ทเมนต์ช่วยหาข้อมูลพยากรณ์อากาศจากสื่อท้องถิ่นซึ่งส่วนใหญ่รายงานเป็นภาษาอิตาเลียนทั้งนั้น เพียงไม่นานก็ได้รับคำตอบจากเจ้าของอพาร์ทเมนต์ผู้อารีว่า ป้าควรจะเดินทางไปเมืองปิซ่าในวันพรุ่งนี้เพราะเป็นช่วงเวลาที่อากาศดีที่สุดในรอบสัปดาห์ เมื่อได้ยินเช่นนั้นแล้วทำให้ป้านวลไม่มีทางเลือกต้องทิ้งแผนเที่ยวเมืองฟลอเรนซ์แล้วออกเดินทางท่ามกลางอากาศอันหนาวเย็น 17 องศาเซลเซียสเพื่อบ่ายหน้าไปยังเมืองฟลอเรนซ์ในรุ่งเช้าของวันที่ 20 เมษายน นั่นเอง เมื่อรถไฟความเร็วสูงจอดเทียบชานชลา “Pisa Centrale Station” ความบันเทิงก็เกิดขึ้นทันที เพราะป้านวลมองหาประชาสัมพันธ์ในสถานีไม่เจอ เธอจึงไม่มีแผนที่หรืออุปกรณ์นำทางใด ๆ ในมือเลย สิ่งที่หญิงสูงวัยทำได้คือเดินตามมวลมหาประชาชนกลุ่มใหญ่ซึ่งคิดว่าทุกคนคงมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่เดียวกันนั่นก็คือ หอเอนแห่งเมืองปิซ่า นั่นเอง ระยะทางจากสถานีรถไฟไปยังหอเอนปิซ่านั้นมีระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร ซึ่งถือว่าไม่ไกลสำหรับป้า เพราะตอนอยู่เมืองไทยป้าวิ่งวันละ 10 รอบสนามฟุตบอลเป็นประจำทุกเช้า-เย็น ระหว่างทางป้าได้พบเห็นความแตกต่างมากมายที่ไม่เคยพบเจอได้จากกรุงโรม และเมืองฟลอเรนซ์ เนื่องจากเมืองปิซ่าเป็นที่ราบลุ่มน้ำท่วมถึงได้ง่าย ชาวเมืองที่นี่จึงไม่นิยมสร้างตึกรามบ้านช่องสูงใหญ่เพราะมักประสบปัญหากับการทรุดตัวของดินตะกอนปากแม่น้ำนั่นเอง อย่างไรก็ดีปัญหาการทรุดตัวของดินในเมืองนี้กลับกลายเป็นเรื่องที่น่ายินดีซึ่งทำให้โลกได้รู้จักกับ หอเอนเมืองปิซ่า 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกแห่งนี้นี่เอง หอเอนเมืองปิซ่า หนึ่งในแลนด์มาร์คมรดกโลกบนพื้นที่โครงการ “Piazza dei Miracoli” หรือ จัตุรัสแห่งความมหัศจรรย์ที่ถูกสร้างขึ้นในยุคสมัยใกล้เคียงกันกับสถาปัตยกรรมมรดกโลกในบริเวณนี้ อาทิ มหาวิหารปิซ่า (Duomo di Pisa) หอล้างบาปเมืองปิซ่า (Baptistery of Pisa) และหอระฆังเมืองปิซ่า เป็นต้น รูปแบบของหอเอนปิซ่าจะเป็นหอคอยรูปทรงกระบอก 8 ชั้น สร้างด้วยหินอ่อนสีขาวและมีความสูง 55 เมตรเหนือระดับพื้นดิน คาดว่าสร้างเมื่อปี ค.ศ.1173 จนกระทั่งแล้วเสร็จในปี ค.ศ.1350 รวมระยะเวลาก่อสร้างทั้งสิ้น 177 ปี ในปีค.ศ. 1590 ก็มีเหตุการณ์น่าสนใจที่พลิกโฉมหน้าวงการวิทยาศาสตร์และดาราศาสตร์ของโลกไปตลอดกาล เมื่ออยู่ดี ๆ ก็มีศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในเมืองปิซ่า ซึ่งถูกนักวิชาการในศตวรรษที่ 15 กล่าวหาว่าเขาเป็นขบถทางความคิด (ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยปิซ่าซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากหอเอนเมืองปิซ่ามากนัก) กล้าท้าทายความเชื่อของ "อริสโตเติล" นักปรัชญาเมธีชาวกรีกผู้เปรียบเสมือนศูนย์กลางทางองค์ความรู้ของมวลมนุษยชาติมานานนับพันปี เมื่อเขานำนักศึกษาไปทดสอบทฤษฎีเกี่ยวกับแรงโน้มถ่วงของโลกเพื่อยืนยันว่าน้ำหนักของวัตถุไม่มีผลต่อแรงโน้มถ่วงของโลก หากเราปล่อยวัตถุลงจากความสูงในระดับเดียวกันมันจะตกลงสู่พื้นในระยะเวลาเท่ากันเสมอและสถานที่ซึ่งศาสตราจารย์โนเนมผู้นี้เลือกใช้ทดสอบก็คือหอเอนแห่งเมืองปิซ่านั่นเอง ถึงแม้การทดลองในครั้งนั้นจะถูกผู้คนต่อต้านและกล่าวหาว่าเขากำลังเล่นกลหลอกคนทั้งโลกอยู่ แต่เมื่อเวลาผ่านไปผลงานของชายผู้นี่ก็เริ่มปรากฏให้เห็นเป็นรูปธรรมและทำให้มวลมนุษยชาติก้าวออกจากกรอบความคิดเดิม ๆ และเกิดการเรียนรู้ใหม่ ๆ อย่างกว้างขวาง นามของศาสตราจารย์ผู้นี้คือ “กาลิเลโอ กาลิเลอี” ชายผู้คิดค้นกล้องโทรทัศน์ซึ่งปฏิวัติโลกแห่งการเรียนรู้ของมวลมนุษยชาติ และจุดเริ่มต้นในการสร้างผลงานของเขาหลายชิ้นก็มาจากหอเอนเมืองปิซ่าแห่งนี้นี่เอง สาเหตุที่ทำให้หอเอนเมืองปิซ่าอยู่ในลักษณะผิดท่าผิดทางขนาดนี้นั้นเกิดขึ้นจากความไม่ตั้งใจ เนื่องจากในขณะกำลังก่อสร้างหอเอนแห่งนี้ พื้นดินในบริเวณนั้นซึ่งส่วนมากจะเป็นดินโคลนและดินตะกอนเกิดรับน้ำหนักหินอ่อนขนาด 14,000 ตันไม่ไหว จู่ ๆ ก็ทรุดตัวลงไปส่งผลให้หอคอยขนาดใหญ่เอียงลงไปประมาณ 3.9 องศา ทำให้วิศวกรต้องแก้ไขแบบให้เกิดความสมดุลมากที่สุดก่อนที่มันจะพังลงมา ซึ่งก็สามารถแก้ได้เพียงผักชีโรยหน้าเท่านั้น เพราะหลังจากนั้นหอเอนแห่งนี้ก็ค่อย ๆ เอนลงทุก ๆ ปี จนกระทั่งแบนิโต มุสโสลินี ผู้นำของอิตาลีในเวลานั้นไม่รู้จะแก้ปัญหาเรื่องการเอนของหอคอยแห่งนี้ได้อย่างไรจึงสั่งให้ทหารนำคอนกรีตมาถมรอบฐานให้รู้แล้วรู้รอดไปนั่นเอง อีกหนึ่งเรื่องเล่าที่น่าสนใจสำหรับหอเอนเมืองปิซ่าแห่งนี้ก็คือในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองทหารฝ่ายสัมพันธมิตรพยายามทำลายสัญลักษณ์ทางอำนาจของฝ่ายอักษะและหอเอนเมืองปิซ่าก็คือหนึ่งในเป้าหมายลำดับต้น ๆ ของทหารอเมริกันที่ต้องการจะทำลายให้สิ้นซาก และในวินาทีแห่งการยิงขีปนาวุธที่พร้อมทำลายทุกสิ่งให้ราบคาบภายในเสี้ยววินาทีนั้น เหมือนมีอะไรดลจิตดลใจให้เขาวางมือจากไกปืนและมองหอเอนปิซ่าซึ่งตั้งอยู่อย่างสง่างาม ป้าสันนิษฐานว่าเขาอาจจะรู้สึกเหมือนกันกับป้าในขณะนี้ว่าหอเอนปิซ่าคือสิ่งล้ำค่าที่คนทั้งโลกควรมีโอกาสได้เห็นมากกว่าที่จะเป็นเพียงซากปรักหักพังที่ไร้คุณค่า และเป็นเพียงเรื่องเล่าสืบต่อกันมาให้คนรุ่นหลังได้รังฟังเท่านั้นเอง เมื่อได้เวลาอันสมควรป้าก็ต้องบอกลาหอเอนเมืองปิซ่าและสถานที่สำคัญในบริเวณนี้เพื่อมุ่งหน้าไปยังสถานีรถไฟ เนื่องจากคิดว่าไม่มีอะไรน่าสนใจในเมืองนี้แล้ว อย่างไรก็ดีด้วยความที่ป้าไม่มีแผนที่และไม่สามารถจดจำเส้นทางอันซับซ้อนของเมืองแห่งนี้ที่เต็มไปด้วยตรอกซอกซอย จึงต้องยืมจมูกคนอื่นหายใจอีกครั้งหนึ่ง แต่เหตุการณ์ขากลับมันตาลปัตรกว่าที่คิดเพราะเมื่อทุกคนแยกย้ายจากหอเอนปิซ่าต่างก็มุ่งหน้าไปในทิศทางที่ต่างกัน บ้างก็เข้าไปช็อปปิ้งในร้านขายของที่ระลึก บ้างก็เข้าไปรับประทานอาหารหรือของว่างในคาเฟ่ บ้างก็เดินไปในเส้นทางซึ่งป้าไม่คุ้น สรุปคือทุกคนต่างแยกย้ายกันไปหมด จนไม่สามารถจับทิศทางได้ว่าใครจะไปสถานีรถไฟบ้าง ป้าจึงเข้าไปถามเส้นทางจากคนแถวนั้นเขาก็ได้แค่แนะนำแต่ไม่มีใครพาป้ากลับไปได้เลยเนื่องจากพวกเขายังไม่มีแผนจะกลับไปสถานีรถไฟเลย ในระหว่างที่กำลังสับสนป้าก็ตัดสินใจเดินไปทางซ้ายซึ่งเส้นทางนี้ผ่านบ้านเรือนและโบสถ์สวย ๆ มากมาย แต่สุดท้ายก็ไปจบที่ Porta Calcessana ซึ่งเป็นแนวกำแพงเมืองเก่าที่ยาวมาก ในขณะที่ป้านั่งเขียนบทความนี้อยู่ได้ลองตรวจสอบระยะทางจากแผนที่จึงรู้ว่าป้าเดินไปไกลถึง 3.5 กิโลเมตรเลยทีเดียว ซึ่งในบริเวณนี้มีนักท่องเที่ยวเดินกินลมชมวิวและถ่ายรูปคู่กับกำแพงเมืองอยู่บ้าง ป้าจึงตรงเข้าไปถามเส้นทางเพื่อจะไปสถานีรถไฟซึ่งเขาก็บอกป้าว่ามาผิดทางแล้วให้เดินกลับไปและไปใช้เส้นทางเรียบแม่น้ำพอเจอสะพานที่ชื่อ Di Mezzo ก็ให้ป้าข้ามแล้วเดินตรงไปก็จะถึงสถานีรถไฟโดยสวัสดิภาพ แต่อย่างที่ป้าได้บอกไว้ว่าเส้นทางในเมืองปิซ่านั้นวกไปวนมาราวกับเขาวงกต จากที่ป้าควรจะไปโผล่ถนนเรียบแม่น้ำป้าก็กลับมาที่หอเอนปิซ่าเสียอย่างนั้น ซึ่งตอนนี้ป้าเดินวนรอบเมืองเกินกว่า 10 กิโลเมตรแล้วแน่ ๆ และก็ดูเหมือนว่าร่างกายก็เริ่มอ่อนแรงลงทุกขณะ ป้าตัดสินใจเดินไปอีกด้านหนึ่งของหอเอนซึ่งก็คือมหาวิทยาลัยปิซ่าของศาสตราจารย์กาลิเลโอนั่นเอง ในขณะนี้ป้าเริ่มรู้สึกหน้ามืดเพราะหิวข้าวและน้ำมากป้าจึงนั่งลงบนทางเท้าริมถนนในมหาวิทยาลัยโดยที่ยังไม่รู้ว่าจะหาทางออกจากที่นี่ได้อย่างไรดี ในการเดินทางนั้นอาจจะมีช่วงเวลาที่ดีและช่วงเวลาที่ยากลำบากปะปนกันไป ในขณะที่ป้ากำลังมองไม่เห็นทางไปก็มีมือหนึ่งมาสัมผัสกับไหล่ของป้าอย่างแผ่วเบาพร้อมกับถามป้าด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงอิตาลีว่า “เป็นอย่างไรบ้าง มีอะไรให้พวกเราช่วยไหม” เมื่อป้ากวาดสายตามองไปก็เห็นกลุ่มวัยรุ่นผู้หญิง 2-3 คนกำลังมองมาที่ป้าด้วยสีหน้าแสดงความเป็นห่วง ป้าจึงเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้พวกเธอฟัง เขาจึงพาป้าไปยังห้องอาหารของมหาวิทยาลัยพร้อมกับเลี้ยงสปาเก็ตตี้ซอสมะเขือเทศป้าหนึ่งมื้อพร้อมกับอาสานำป้าไปส่งสถานีรถไฟเพื่อกลับไปฟลอเรนซ์อย่างปลอดภัย ป้าตอบแทนน้ำใจของนักศึกษากลุ่มนั้นด้วยน้ำหวานและของทานเล่นจากร้านในสถานีรถไฟจากนั้นจึงแยกย้ายกันไปตามเส้นทางของแต่ละคน นี่คือหนึ่งในความประทับใจที่ทำให้ป้าซาบซึ้งใจในมิตรภาพของชาวเมืองปิซ่าไม่มีวันลืมเลย ทุก ๆ การหลงทางย่อมมาพร้อมกับประสบการณ์ในการพบเจอสิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ บางครั้งชีวิตคนเราอาจไม่ราบเรียบเหมือนพื้นดินในเมืองปิซ่า แต่หากเราใช้สติปัญญาและความรู้ในการแก้ไขปัญหา ชีวิตของเราก็จะมั่นคงเหมือนกับหอเอนปิซ่า ซึ่งฝ่าฟันทุกปัญหาและยืนหยัดต่อสู้คู่กับกาลเวลามาแล้วกว่า 800 ปี รูปทั้งหมดโดยผู้เขียน