พาเที่ยวงาน Expo Milano 2015 ที่อิตาลี มหกรรมระดับโลก งานนี้มีอะไร ที่มนุษยชาติต้องไป!
Words & Photo by แมวหง่าว
เอ่ยถึงงาน World Expo แล้วน่าเสียดายที่กระแสของงานนี้ในไทยนั้นออกจะเงียบเหงาไปสักนิด แต่ความจริงแล้วเป็นงานใหญ่ระดับโลกที่ 5 ปีจะจัดสักครั้ง เป็นรองเพียงการแข่งขันโอลิมปิก และการแข่งขันฟุตบอลโลกเท่านั้นเอง สำหรับปีนี้จัดขึ้น ณ เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี มีประเทศที่มาร่วมงานในครั้งนี้มีมากกว่า 140 ประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม – 31 ตุลาคม 2558 รวมแล้วก็ 6 เดือนเต็มๆ ไปเลย ที่ใช้เวลานานขนาดนี้ก็เพราะเป็นการเปิดโอกาสให้คนจากทั่วโลกสามารถเดินทางมาร่วมชมให้ได้มากที่สุดนั่นเอง พูดกันตามตรงเลยว่าแม้แต่คนมิลานเองหากจะเที่ยวชมให้ได้ครบทุกประเทศ ทำความรู้จักแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยจริงๆ สามวันก็ไม่พอแน่นอน
ขอเกริ่นถึงเรื่องราวของงาน World Expo อีกสักนิด เพื่อคุณจะได้ทราบถึงความยิ่งใหญ่ของงานนี้กันอีกสักหน่อย World Expo นี้มีการจัดมาอย่างยาวนานกว่า 163 ปีแล้ว เพื่อเป็นเวทีให้นานาประเทศได้มาแสดงศักภาพของตนเองในด้านต่างๆ ทั้งนวัตกรรม ความคิดสร้างสรรค์ สถาปัตยกรรม ศิลปวัฒนธรรม สังคม ฯลฯ แต่ละปีก็มีหัวข้อที่จัดแตกต่างกันไป ปีนี้จัดภายใต้หัวข้อ Feeding The Planet, energy for life เพื่อให้ทั่วโลกตระหนักถึงการพัฒนาอย่างยั่งยืนของแหล่งผลิต และกระบวนการผลิตอาหารจากประเทศต่างๆ ทั่วโลก ให้มีความเพียงพอพร้อมต่อการบริโภคของมนุษย์ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้นแต่ละชาติก็จะนำเอาของดี นวัตกรรมเด่นของตัวเองมาแสดงกันแบบเต็มที่ ให้เห็นกันว่าใครมีศักยภาพพร้อมที่จะเป็นครัวโลกกันในระดับไหนบ้าง
ตั๋วเข้าชมงานราคา 34 ยูโรต่อวัน ถ้า 2 วันอยู่ที่ 57 ยูโรต่อคน สามารถซื้อตั๋วที่หน้างานได้ แต่ถ้าไม่อยากเสียเวลากับการต่อคิวกับผู้คนนับล้าน ขอให้เข้าไปเช็คราคาตั๋วได้ที่ expo2015.org/en/ticket-price-list และซื้อตั๋วได้ทาง expo2015.org/en/tickets ครับ
หน้าตาของตั๋วที่ซื้อมาก็จะเป็นแบบนี้ พับให้พอดีพยายามอย่าให้ส่วนของ QR Code ถูกบัง เพราะเราจะต้องสแกนบัตรเพื่อผ่านประตูเข้าไปครับ เรื่องของระบบรักษาความปลอดภัยก็อยู่ในระดับสบายใจหายห่วงได้เลย เพราะเข้มงวดกวดขันเหมือนในสนามบินเลย
ผ่านประตูเข้ามาได้เราก็ต้องขึ้นสะพานลอยร้อยลี้ (ชื่อตั้งเอง เพราะไกลมากจริง) ข้ามไปยังฝั่งจัดงาน ตรงนี้ใครมากับครอบครัวก็จับกันไว้ให้ดีครับ สถานที่จัดงานที่มิลานนี้ก็มีการแบ่งส่วนระหว่างที่จอดรถ และส่วนแสดงงานให้ห่างออกจากกันไปเลย แม้จะต้องเดินกันไกลหน่อยแต่ก็ช่วยลดความแออัดได้เป็นอย่างดี ส่วนคนที่เดินทางมาด้วยรถไฟก็จะสบายสุด เพราะสถานีจอดใกล้ทางเข้างานเลย
*งานดีไซน์เริ่มมาตั้งแต่สะพานลอย*
เมื่อเข้ามาถึงแล้วที่แรกที่เราจะแวะไปก็ต้องเป็น Thailand Pavillion แน่นอนอยู่แล้ว และที่พิเศษคือหากเราไปแสดงตัวกับพนักงานที่อยู่ด้านหน้าว่าเป็นคนไทยล่ะก็ เราจะได้สิทธิพิเศษเข้าช่อง Fast Track ไม่ต้องไปต่อคิวรอเข้าแถวยาวๆ กับคนอื่น แต่จากที่ดูก็น่าภูมิใจที่ได้เห็นว่าของเราก็มีชาวต่างชาติมารอเข้าคิวยาวเหยียดไม่แพ้ชาติอื่นๆ เหมือนกัน ด้านข้างก็มีนาข้าวสาธิตให้คนที่รอเข้าคิวได้พักสายตากับสีเขียวๆ ละมุนตา
การออกแบบสถาปัตยกรรมของอาคารแสดงประเทศไทยในครั้งนี้ ก็ได้มี 3 สัญลักษณ์ที่สำคัญของความเป็นไทยที่เกี่ยวข้องกับเกษตรกรรมเข้าด้วยกันอีกด้วย คือ
1. งอบ สัญลักษณ์แห่งวิถีการเกษตร ภูมิปัญญาไทย สืบทอดกันมายาวนานจากรุ่นสู่รุ่น
2. นาค สัญลักษณ์แห่งความเชื่อ เป็นสัญลักษณ์ของน้ำ และยังเป็นตัวแทนแห่งความอุดมสมบูรณ์ตามวิถีการเกษตรของไทย
3. ฐานเจดีย์ สัญลักษณ์แห่งความศรัทธา ฐานเจดีย์ 3 ชั้นเป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึง เกษตรกรรม ธรรมชาติและคนที่อยู่ร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็น น้ำ ชาวนา วิถีชีวิต ประเพณี ความเชื่อ และภูมิปัญญาท้องถิ่น
นอกจากนี้ยังมีในส่วนของ “นิทรรศการมีชีวิต” LIVE EXHIBITION สัมผัสวิถีชีวิตอันทรงเสน่ห์ของชาวไทย ประกอบไปด้วย ตลาดน้ำ พบกับการจำลองวิถีชีวิตริมน้ำของไทยที่มีมาแต่โบราณ คับคั่งไปด้วยเรือพายที่บรรจุไปด้วยสินค้านานาชนิด, นาข้าวสาธิต จัดแสดงนาข้าวสาธิตเพื่อให้ผู้เข้าชมได้เห็นข้าวไทยในระยะการเจริญเติบโตต่างๆ สลับสับเปลี่ยนกันไปในแต่ละแปลง ตลอดระยะเวลาการจัดแสดง 6 เดือน รวมถึงการแสดงการเก็บเกี่ยวข้าวภายในแปลงนาอีกด้วย
หลังจากเข้ามาภายใน Pavillion จะแบ่งออกเป็น 3 โซนด้วยกัน ได้แก่
HALL A “สุวรรณภูมิ” Golden Land ดินดำ น้ำชุ่ม โอบอุ้มสรรพชีวิต ธรรมชาติมอบความอุดมแก่การเกษตรของไทยเสมอมา” พบกับ ความอุดมสมบูรณ์ของประเทศไทย ตั้งแต่ทิวเขา ทุ่งราบจนถึงท้องทะเล พร้อมชมระบบนิเวศที่หลากหลาย จนได้ชื่อว่าเป็น “อู่ข้าว-อู่น้ำ” หรือฐานการผลิตอาหารที่มีคุณภาพที่สุดแห่งหนึ่งของโลก สมชื่อ “สุวรรณภูมิ” ด้วยเทคนิคโฮโลแกรม 3 มิติ ผสมผสานกับการฉายภาพรอบทิศทาง
HALL B “ครัวไทยสู่ครัวโลก” Kitchen To The World พบกับเทคนิคการฉายภาพบนพื้นผิวรอบทิศทาง เปิดเผยทุกขั้นตอนของครัวไทยตั้งแต่การผลิตวัตถุดิบ การปรุงรส การแปรรูป การเก็บรักษา การถนอมอาหาร และการบรรจุหีบห่อ ต่อยอดด้วยความคิดสร้างสรรค์ และเทคโนโลยีอันทันสมัย กลายเป็นผลิตภัณฑ์อาหารที่มีมาตรฐานระดับสากล สร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพ และวัตถุดิบจากประเทศไทย ประกาศศักยภาพและความพร้อมในการเป็นครัวโลก หลังชมห้องนี้จบบอกได้เลยว่าท้องร้องแน่นอน
HALL C “กษัตริย์แห่งเกษตรกร” King of Argiculture ซาบซึ้งไปกับสายพระเนตรอันกว้างไกลในด้านการเกษตรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงเป็นปราชญ์แห่งดินและน้ำ ทรงงานมากมายเพื่อพสกนิกรชาวไทยอย่างไม่เคยว่างเว้น กว่า 4,000 โครงการตลอด 60 ปี ที่ทรงครองราชย์ และยังทรงแนะแนวทาง “เศรษฐกิจพอเพียง” ในการดำเนินชีวิตให้กับพสกนิกรชาวไทยจนทั่วโลกให้การยกย่อง
หลังจากชมทั้ง 3 Hall เสร็จเรียบร้อยแล้ว เดินมาตามทางก็จะพบกับช็อบจำหน่ายสินค้าแปรรูปของไทยเรา สังเกตได้ว่าร้านแน่นจนแทบไม่มีที่ยืน เป็นการการันตีว่าชาวต่างชาตินั้นให้ความสนใจ และตลาดผลิตภัณฑ์แปรรูปของเรานั้นก็พร้อมสำหรับการเป็นครัวแห่งโลกอนาคตอย่างแท้จริง น่าภูมิใจสุดๆ
*แกงค์เป็ดน้อย*
เยี่ยมชม Thailand Pavillion เสร็จเรียบร้อย ที่เหลือก็เป็นการแวะชมประเทศอื่นๆ ที่สนใจกันบ้าง ตรงนี้ขอแนะนำให้พยายามศึกษาเส้นทาง และวางแผนการเดินชมจากแผนที่กันให้ดี เพราะอาณาเขตภายในงานนั้นกว้างใหญ่มาก จะได้ไม่เดินเรื่อยเปื่อยเสียเวลาโดยใช่เหตุครับ หากคุณเน้นชมประเทศใหญ่ๆ และน่าสนใจ ก็ต้องทำใจไว้ก่อนเลยว่าอาจต้องต่อคิวยาวเป็นชั่วโมง (จริงๆ ครับ ไม่ได้เปรียบเปรย) เรียกได้ว่าเข้าได้สัก 4-5 ประเทศก็เก่งแล้ว ใครซื้อตั๋วชมแบบมากกว่าหนึ่งวันขึ้นไปก็น่าจะสบายหน่อย ไม่ต้องเร่งรีบมาก
ไหนๆ ก็เป็นประเทศบ้านใกล้เรือนเคียง แถมยังตั้งอยู่ใกล้กันขนาดนี้ คงพลาดไม่ได้ที่จะลองเข้าไปดู Malaysia Pavillion ออกแบบภายนอกได้น่าสนใจ สื่อถึงเรื่องของเมล็ดพันธุ์ซึ่งมีความหมายถึงความอุดมสมบูรณ์นั่นเอง ภายใต้แนวคิด “Towards a Sustainable Food Ecosystem” ที่น่าสังเกตก็คือพืชพันธุ์ผลไม้ต่างๆ ที่มาเลเซียมีก็จะคล้ายๆ กับประเทศไทย เพียงแค่พืชเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดของเค้าจะเป็นต้นปาร์ม และต้นยาง ที่นำไปต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ อีกมากมาย
แวะมาดูอีก 3 ประเทศเพื่อนบ้านอย่างลาว กัมพูชา และเมียนมาร์ ที่จัดเป็นบูทเล็กๆ อยู่ใกล้กันเพราะมีส่วนที่เกี่ยวข้องกันอย่างมากในแง่ของการเป็นประเทศที่ปลูก “ข้าว” เป็นหลักนั่นเอง ทั้งสามประเทศต่างก็ขนเอาข้าว และธัญพืชนานาชนิดมาโชว์แบบเต็มที่ นอกจากนั้นแล้วยังรวมไปถึงเรื่องของศิลปวัฒนธรรมที่งดงามของประเทศในแถบนี้ด้วย
ต่อจากข้าวมาเอาใจคอกาแฟกันบ้าง ในกลุ่มของประเทศที่เป็นแหล่งปลูกกาแฟเขาก็จะมาจัดบูทรวมกันเหมือนกัน มีทั้งหมดประมาณ 10 ประเทศได้ เข้ามาในบริเวณก็จะได้กลิ่นหอมของเมล็ดกาแฟคั่วอบอวลเต็มไปหมด
Japan Pavillion ของญี่ปุ่นนี่น่าสนใจตรงที่มีการจัดสวนสไตล์เซนร่วมสมัยให้ได้ชมกัน มีร้านอาหารที่นำเอาวัตถุดิบเด่นๆ มาปรุงให้คุณรับประทานกันตรงนั้นเลย ที่สำคัญคิวไม่นานด้วยเพราะใช้ระบบเดียวกันกับเวลาไปรับประทานอาหารที่ญี่ปุ่น คือเดินไปกดออเดอร์ที่ตู้ขายอัตโนมัติ รอคิวแล้วหยิบมารับประทานเองได้เลย แต่สำหรับโซนที่เป็นนิทรรศการด้านในนั้นต้องต่อคิวรอนานมากๆ ประมาณ 2 ชั่วโมงได้ ใครที่พอมีเวลาไม่ควรพลาดครับ
ทางประเทศอเมริกาเองก็เท่ไม่น้อย มาในรูปลักษณ์ของ Food Truck ที่เขาภูมิใจว่ามีความหลากหลายทางอาหารมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก มีถึงสามชั้น และมีต่อไปด้านหลังอีกยาว ที่แน่ๆ ของกินเพียบ ที่เด่นๆ จะเป็นประเภทแฮมเบอร์เกอร์ทั้งหลาย
ยังเหลือประเทศน่าสนใจที่ผมไม่มีโอกาสเข้าไปเดินชมอีกมากมาย แต่อย่างน้อยได้เดินชมความงามของสถาปัตยกรรมที่เขาตั้งใจสร้างสรรค์กันมาอย่างสวยงามลงตัว และแสดงให้เห็นถึงเอกลักษณ์ประจำชาติชนิดที่เมื่อเห็นแล้วเราจะพอเดาได้ว่ามาจากประเทศอะไร เช่น
*ประเทศเจ้าภาพ อิตาลี*
*ประเทศจีน*
*ประเทศอังกฤษ*
*ประเทศสเปน*
*ประเทศสวิตเซอร์แลนด์* ประเทศนี้ใจดี ของแจกเพียบ ทั้งโปสการ์ดลายสวยๆ เข็มกลัดน่ารัก ฯลฯ
*ประเทศชิลี*
*คูเวต*
*รัสเซีย*
*เติร์กเมนิสถาน*
และจุดสุดท้ายที่อยู่ตรงกลางงาน และเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของงาน Expo Milano 2015 ด้วย คือ TREE OF LIFE มีการแสดงแสงสีเสียงด้วย แนะนำว่าให้อยู่ชมตอนกลางคืนจะสวยที่สุดครับ
สรุปแล้วการได้มาเที่ยวชมงานครั้งนี้นับเป็นโอกาสอันดีที่มีเพียง 5 ปีครั้ง สำหรับประเทศใหญ่ๆ เขาก็จะเน้นไปที่การแสดงนวัตกรรมดีๆ ที่น่าสนใจ ส่วนประเทศเล็กๆ ก็จะเป็นการเอาของดีของเด่นมาให้ดูว่าของเขามีอะไรบ้าง และมีการเตรียมพร้อมเพื่อเป็นครัวโลกกันอย่างไร ดังนั้นแก่นหลักของงานนี้จึงเป็นเรื่องของการแบ่งปัน พูดคุย และหารือกันในระดับมวลมนุษยชาติเกี่ยวกับเรื่องที่น่าจะเป็นปัญหาสำคัญที่ท้าทายทุกประเทศ นั่นคืออาหารนั่นเองครับ ใครที่สนใจอยากไปเดินเที่ยวคงต้องรีบหน่อยล่ะเพราะจะหมดสิ้นเดือนตุลาคมนี้แล้ว รับรองว่าคุ้มค่าเงินทุกบาททุกสตางค์ และได้เรื่องราวดีๆ กลับบ้านเพียบแน่นอน ส่วนใครจะเน้นไปดูอะไร ประเทศไหนก็ขึ้นอยู่กับสไตล์ และความชอบของคุณเองได้เลยครับ
ขอขอบคุณ BEC Tero สำหรับทริปดีๆ ครั้งนี้ครับ
**บทความรีวิวร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว และแนะนำวางแผนเที่ยว เป็นบทความที่ทางเว็บขอสงวนลิขสิทธิ์ผลงานการเขียน ห้ามทำซ้ำ หรือคัดลอกเพื่อนำไปเผยแพร่ต่อในเว็บอื่นๆ และสื่อตีพิมพ์ จนกว่าจะได้รับการอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากทีมงาน
ติดตาม travel.truelife.com อีกช่องทางที่
ทุกเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับการท่องเที่ยว อาหาร และที่พัก คลิกที่ http://travel.truelife.com