ขับรถเที่ยวญี่ปุ่น ช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ต.ค.-พ.ย. วิธีเตรียมตัวสำหรับมือใหม่
อีกไม่กี่เดือนที่ประเทศญี่ปุ่นก็จะเข้าช่วงไฮซีซั่นแล้วครับ ที่เราเรียกกันว่าช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ประมาณเดือนตุลาคม-พฤศจิกายนนั่นเอง แต่ละเมือง แต่ละจังหวัดก็จะถูกใบไม้ย้อมสีจนสีสวยสดใสเป็นพิเศษ โดยเฉพาะการได้ขับรถเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเองในช่วงนี้นับเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่อยากให้ทุกคนได้ไปลองกันจริงๆ ครับ ยิ่งถ้าได้เข้าไปในป่า หรือออกนอกเมืองไปไกลๆ ใบไม้ยิ่งสีสวย แดง เหลือง ส้ม เขียว ตัดสลับกับสีของทองฟ้า ดูแล้วสบายตา และน่าไปเที่ยวมาก อยากแวะจอดถ่ายรูปตรงไหนก็ทำได้สบายๆ
การขับรถเที่ยวเป็นกิจกรรมที่สนุกและสบายมากๆ ได้ประสบการณ์ใหม่ๆ ที่เราอาจจะไม่เคยเจอโดยเฉพาะที่ญี่ปุ่น หลายคนชอบเดินทางโดยรถไฟ รถสาธารณะ แต่เอาละ สำหรับบางเมืองโดยเฉพาะต่างจังหวัด มันไม่ได้ง่ายไหนจะต้องลากกระเป๋า หาที่ฝาก นั่งรถอีกหลายต่อ เที่ยวเสร็จก็อาจจะต้องกลับมาเอากระเป๋าแล้วนั่งรอรถเที่ยวต่อไปอีก อย่ากระนั้นเลย มาลองขับรถกันเองเลยดีกว่า สำหรับคนที่ไม่เคยขับรถเที่ยวญี่ปุ่นมาก่อน ช่วงแรกๆ คงมีแต่ความกังวลใจหลายอย่างแน่ๆ เอาเป็นว่าเรามาดูเทคนิค และการเตรียมตัวกันดีกว่าครับ
เตรียมเอกสาร การขับรถเที่ยวญี่ปุ่น
ขั้นแรกเลยคือเตรียมเอกสารที่จำเป็นก่อนเลยครับ ทำใบขับขี่สากลให้เรียบร้อย โดยไปทำที่สำนักงานขนส่งใกล้บ้านได้เลยกำเงิน 505 บาท รูปถ่าย พาสปอร์ต และใบขับขี่รถยนต์ไทยไป ใช้เวลา 15 นาทีไม่เกิน ก็เรียบร้อย
เมื่อไปถึงญี่ปุ่น ก็อย่าลืมนำใบขับขี่สากลไปพร้อมกับพาสปอร์ต ส่วนบัตรเครดิตที่ใช้ทำจองไว้ตั้งแต่แรกนั้นบางร้านเช่ารถก็ขอดู บางร้านก็ไม่ขอ ก็อย่าลืมเตรียมไปเผื่อด้วยนะครับ
จองรถ ทำได้ตั้งแต่ในไทย
ทำการจองรถตามเว็บไซต์ เช่น rent.toyota.co.jp/th สำหรับใครที่อยากจองค่ายโตโยต้า (มีภาษาไทย) หรือจะจองผ่าน www2.tocoo.jp/en เป็นเว็บกลางที่รวมรถจองค่ายต่างๆ เอาไว้มากมายแถมมีส่วนลดให้ด้วย ก็เลือกเอาได้ตามใจชอบ
ส่วนขั้นตอนก็คือ
- เลือกวันเวลา สถานที่ เลือกรุ่น/ยี่ห้อรถที่เราต้องการขับ
- จุดที่ต้องการรับ-คืนรถ
- ราคา ควรเช็คให้ละเอียดเช่น รถอัลพาร์ด ตกวันละ 6,300 บาท โดยประมาณ ไม่รวมค่าน้ำมัน ค่าทางด่วน และค่าจอดรถตามสถานที่
ส่วนใครที่จะเลือกรับรถ-คืนรถ คนละจุดก็จะมีค่าธรรมเนียมเพิ่มครับ นอกจากนี้ ยังเลือกได้อีกว่าต้องการรถที่อนุญาตให้สูบบุหรี่ได้หรือไม่ และต้องการออปชั่นอื่นเพิ่มหรือเปล่า เช่น คาร์ซีท สำหรับเด็ก ต้องการบัตรทางด่วน ETC Card ด้วยมั้ย เป็นต้น
ประกันรถที่ต้องการเป็นแบบไหน แนะนำให้เลือกแบบคุ้มครองสูงสุดไปเลยครับ ตอนเช่ารถจะมีประกันอุบัติเหตุให้มาอยู่แล้ว แต่จะมีประกันเพิ่มเติมอีก หลักๆ คือ CDW และ NOC
CDW หรือ Collision Damage Waiver เป็นการคุ้มครองให้เราไม่ต้องเสียค่าเสียหายส่วนแรก
และ NOC หรือ Non Operation Charge คือค่าเสียโอกาสของบริษัทรถเช่า หากเราเอารถไปเกิดอุบัติเหตุ ระหว่างซ่อมรถ เราก็ต้องเป็นคนจ่ายให้กับทางบริษัท ประมาณ 20,000-50,000 เยน แล้วแต่กรณีความเสียหาย
ทั้งนี้ทั้งนั้น มีข้อแม้ว่าประกันจะไม่ครอบคลุมถ้าเราเมาแล้วขับ หรือไปทำผิดจราจรใดๆ โดยที่ไม่มีใบขับขี่ และหากเกิดกรณีอุบัติเหตุแล้วเราไม่แจ้งความตำรวจ ไม่ว่ากรณีเล็กหรือใหญ่ ประกันจะไม่รับผิดชอบครับ เรื่องประกัน และเรื่องอุบัติเหตุเป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะหากเกิดอะไรขึ้น ค่าใช้จ่ายสูงมาก อาจจะหมดตัวได้
หลังจากทำทุกขั้นตอนแล้วก็จะได้หมายเลขการจองมา ปริ้นท์เตรียมเก็บไว้ เผื่อเอาไปยื่นวันรับรถครับ
รับรถ
เมื่อถือญี่ปุ่นแล้วก็ไปติดต่อรับรถครับ ถ้ารับที่สนามบินก็มองหาเจ้าหน้าที่ร้านเช่ารถหรือเค้าท์เตอร์ติดต่อได้เลย โดยเตรียมเอกสารไม่ว่าจะเป็นใบจองรถ หรือหมายเลขที่จองรถ เอกสาร พาสปอร์ต ใบขับขี่สากล บัตรเครดิต (ถ้าเจ้าหน้าที่ขอดู) อย่าลืมตรวจเช็ค ความเรียบร้อยและตรวจสอบร่องรอยรอบรถ ซึ่งตรงนี้สำคัญมากๆครับเพราะจุดไหนที่มีรอยมาร์คควรอยู่เจ้าหน้าที่จะมาร์คไว้เราก็ต้องตรวจให้ตรงกับที่เขามาร์ค และหากเจอรอยเพิ่มเติมก็สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ได้เลยครับ เพราะมิฉะนั้นหากมีการตรวจเจอหลังคืนรถเราจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ
ต่อมาคือเรื่องของการแนะนำวิธีการใช้รถ เจ้าหน้าที่ก็จะคอยบอกว่ารถคันนี้เป็นระบบอะไร สตาร์ทเปิดปิดรถยังไง การใช้ GPS ที่มีการตั้งค่าเป็นภาษาอังกฤษ รถบางคันอาจจะมีแผนที่พร้อมกับ map code ให้เราเผื่อเอาไว้ด้วยก็จะเป็นประโยชน์มากๆ เลยครับ เราอาจจะต้องเตรียมข้อมูลจำเป็นเช่น หมายเลขโทรศัพท์ไว้ด้วย เพราะในการใช้ GPS นั้น จะใช้หมายเลขโทรศัพท์หรือ map code เป็นหลักในการที่จะนำเราไปสู่จุดหมายปลายทางครับ
เริ่มต้นออกเดินทาง
จำให้ขึ้นใจว่า อย่าลืม "คาดเข็มขัดนิรภัย" ทุกครั้ง แม้ว่าจะนั่งอยู่เบาะหลังก็ตามครับ รถที่ญี่ปุ่น หรือที่ไหนๆ ในโลก ถ้าประกันระบุผู้ขับขี่ไว้แล้ว เราจะเปลี่ยนเพื่อนขับไม่ได้นะครับ หรือหากไม่ได้ระบุ แต่เพื่อนไม่มีใบขับขีสากล อันนี้ก็ขับไม่ได้เช่นกัน เพราะหากเกิดอะไรขึ้น มีความผิดแน่นอน และประกันไม่จ่ายด้วยนะครับ
ต่อมาที่ห้ามเลยคือ “เมาต้องไม่ขับ” ตรงนี้เป็นเรื่องของสามัญสำนึกที่จะต้องไม่ขับขี่ขณะมึนเมาครับ เค้าบังคับใช้กฎหมาย และบทลงโทษต่อผู้ที่เมาแล้วขับนั้นเข้มงวดมากครับ ถ้าเป่าลมหายใจผ่านเครื่องตรวจแล้วพบว่ามีระดับแอลกอฮอล์ในร่างกาย อาจจะถูกจำคุกไม่เกินสามปี ปรับไม่เกิน 500,000 เยน หรือมากกว่านั้น
ถ้าเกิดโดนตำรวจเรียก หรืออุบัติเหตุ โดนทุกกรณีไม่มีข้อยกเว้น ที่สำคัญคือเพื่อนหรือพ่อแม่เรา คนที่นั่งมาด้วยก็ถือว่าผิด เพราะไม่ห้ามคนขับไม่ให้กินเหล้า เข้าซังเตด้วยกันหมดจ้า
วิธีการขับรถในญี่ปุ่นก็ง่ายง่ายคล้ายกลับเมืองไทยครับที่ญี่ปุ่นจะขับรถพวงมาลัยขวาเหมือนกับไทย ใช้วิธีการสังเกตป้ายเครื่องหมายสัญลักษณ์และสัญญาณจราจรต่างๆ การเตรียมความพร้อมระหว่างขับขี่ และการให้สัญญาณระหว่างขับขี่เป็นเรื่องสำคัญครับ
ใครใช้ GPS ที่ติดมากับเครื่องก็สามารถที่จะเลือกดูแผนที่ผ่านหน้าจอได้ด้วยครับ ซึ่งในการเลือกเส้นทางนั้นเท่าที่เจอรถญี่ปุ่นจะมีเส้นทางหรือ route อยู่ 5 แบบให้เลือกด้วยกัน แต่ละเส้นทางก็จะแสดงระยะเวลาที่คำนวณเอาไว้จนถึงเป้าหมายครับโดยใช้อัตราความเร็วเฉลี่ย 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่หลักการก็ไม่ได้เชื่อถือได้เสมอไปนะครับ 555 เพราะว่าอาจจะไม่ได้มีการคำนวณเวลาที่ต้องหยุดรถจากการติดไฟแดงหรือว่ารถติด ดังนั้นควรจะต้องคำนวณเวลาเผื่อเอาไว้ด้วยครับสำหรับใครที่วางแพลนเอาไว้ในการเที่ยวแล้ว
ส่วนมากผมจะเลือกเส้นทางที่เร็วที่สุดซึ่งอาจจะต้องมีการขึ้นทางด่วน และเสียเงินเพิ่ม แต่จากประสบการณ์แล้วเคยเลือกเส้นทาง eco ครับ ปรากฏว่าเป็นเส้นทางที่ประหยัดเงินแต่ไม่ประหยัดเวลาเพราะว่าใช้เส้นทางที่ลัดเลาะไปตามหมู่บ้าน ตำบลต่างๆ ทำให้ขับรถนานกว่าเดิมครับ
ใครที่จำเป็นต้องขึ้นทางด่วนอย่าลืมเช่าบัตร ETC มาด้วยนะครับเป็นไข้คล้ายกับ easypass บ้านเราคือสามารถผ่านช่องทางด่วนได้เลยโดยที่ไม่ต้องชำระเงินและจะชำระทีเดียวเมื่อเราคืนรถครับ ETC จะเป็นช่องพิเศษที่แยกออกมาต่างหากมีป้ายสีม่วงเขียนว่า ETC สามารถเข้าช่องนี้ได้เลยครับ
การใช้ความเร็วบนท้องถนนของญี่ปุ่น
การขับรถในญี่ปุ่นมีข้อควรรู้ที่สำคัญ อย่างเช่นความเร็วในการใช้รถถ้าหากเป็นทางด่วน สามารถใช้ความเร็วได้ไม่เกิน 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถ้าเป็นถนนสายหลักอาจจะขับได้ความเร็ว 50-80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ถ้าเป็นเส้นทางในชุมชนจะถูกจำกัดความเร็วอยู่ที่ประมาณ 30-50 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเท่านั้น ดังนั้นต้องระมัดระวังถ้าหากจะขับรถในชุมชนหรือที่ที่มีคนเยอะเยอะ ต้องสังเกตพื้นถนนด้วยครับว่ามีการแนะนำให้ทำความเร็วเท่าไหร่จะได้ไม่เกิดอันตรายนะครับ
การให้ความสำคัญกับผู้ใช้ถนนร่วมกันครับ โดยเรียงลำดับความสำคัญคือคนที่ใช้ถนน รวมถึงคนที่ขี่จักยานเป็นสิ่งที่ต้องระมัดระวังมากที่สุดครับ
ที่ญี่ปุ่น ผู้ขับขี่จะต้องให้ความระมัดระวังแก่คนเดินเท้า เมื่อเกิดอุบัตเหตุกับคนเดินเท้า ส่วนใหญ่แล้วความผิดจะตกอยู่ที่ผู้ขับขี่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น หากจะเลี้ยวรถตามทางแยก เราจะต้องหยุดรถหรือชะลอรถ ให้คนข้ามก่อน ระวังอย่าให้เกิดอุบัติเหตุขับรถชนคนจะถือเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก
จุดพักรถญี่ปุ่น โอเอซิสระหว่างทาง
ถ้าหากขับรถไปทางด่วนของญี่ปุ่นจะมีจุดพักรถอยู่ตลอดทางครับ สามารถที่จะแวะเข้าห้องน้ำซื้อของกิน Shopping หรือนั่งพักหายเหนื่อยได้แล้วก็บางจุดมีปั๊มน้ำมันบริการด้วยลักษณะคล้ายคล้ายกลับมอเตอร์เวย์บ้านเราครับถือว่าสะดวกมากๆ
อ่านเรื่องจุดพักรถในญี่ปุ่นได้ที่ >จุดพักรถที่ญี่ปุ่น ดินแดนที่ไม่ได้มีแค่ร้านขายของ และห้องน้ำ<
เรื่องน่ารู้ของการขับรถในญี่ปุ่น
ที่ญี่ปุ่นมีการเจาะภูเขาเป็นอุโมงค์เพื่อวางเส้นทางพาดผ่าน ดังนั้นหากขับรถในอุโมงค์สิ่งที่จำเป็นคือการเปิดไฟหน้าและอย่าขับรถชิดคันหน้าจนเกินไป เนื่องจากพื้นที่ภายในค่อนข้างขับแคบเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายครับ
ถนนที่ปุ่นจะมีเส้นที่ตีเอาไว้ บางแห่งก็ตีจนลายตาครับ ดังนั้นต้องสังเกตให้ดีว่าเราจะวิ่งในเลนไหนตามเส้นทางที่เราจะไป อย่าขับรถคร่อมเลนเพราะนิสัยของคนญี่ปุ่นคือจะไม่มีการขับรถคร่อมเลน และถ้าหากเจอรถที่คร่อมเลนเค้าจะไม่สนใจครับ เพราะถือว่าเค้ามาทางที่ถูกแล้วรถคันอื่นจะต้องหลบตามนิสัยซื่อตรงของคนญี่ปุ่นครับ
อีกเรื่องคือการหยุดรถให้ตรงเส้นจอดรถไม่ล้ำเส้นในระหว่างที่หยุดรอสัญญาณไฟหรือรอให้คนข้ามก็เป็นกฏทั่วไปในการใช้รถครับ สังเกตป้ายสัญลักษณ์ที่เป็นรูปทรงสามเหลี่ยมคว่ำหรือตัววี ป้ายนี้จะเป็นป้ายที่บอกให้เราหยุดรถให้สนิทก่อนที่จะเคลื่อนรถต่อ เพราะถ้าหากเกิดอุบัติเหตุความผิดจะตกอยู่กับคนขับที่ไม่ยอมหยุดรถให้สนิทจึงต้องสังเกตป้ายสามเหลี่ยมให้ดีครับ
การขับรถที่ญี่ปุ่นในตอนกลางคืนยิ่งเป็นสิ่งที่ต้องระมัดระวังครับ โดยเฉพาะช่วงใบไม้เปลี่ยนสีและช่วงหน้าหนาวพระอาทิตย์จะตกดินเร็ว จึงทำให้ค่อนข้างมืดในบางจุด เราอาจจะไม่เห็นคนที่เดินข้ามถนนได้ ที่สำคัญคือเราจะต้องวางแผนการขับรถเที่ยวให้ดีโดยเฉพาะการเข้าโรงแรมก่อนช่วงพระอาทิตย์ตกดิน
ข้อควรขับรถในญี่ปุ่นเพิ่มเติมที่ต้องทราบคือ
- รถที่ญี่ปุ่นขับชิดซ้ายเป็นหลักครับ ส่วนรถที่จะเลี้ยวขวาจะต้องรอก่อนให้รถที่เป็นทางตรงผ่านไปก่อนถึงจะเลี้ยวได้ และหยุดรถเสมอเมื่อเจอสัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีแดง
- "ที่ญี่ปุ่นไม่มีเลี้ยวซ้ายผ่านตลอด" นะครับ รถที่จะเลี้ยวซ้ายก็ต้องหยุดเช่นกัน
- แม้ว่าสัญญาณไฟจราจรจะเป็นสีแดง แต่เราอยู่ในช่องทางเดินรถของไฟจราจรที่เป็นลูกศรสีเขียวสามารถเลี้ยวได้
- สังเกตป้ายบังคับความเร็วและสังเกตป้ายห้ามแซงหรือเส้นทึบสีเหลืองกลางถนน เป็นเขตพื้นที่ห้ามแซงด้วยนะครับ
- อย่าออกรถก่อนไฟจราจรจะเปลี่ยนเป็นสีเขียว เพราะบางจุดอาจจะคงสัญญาณไฟเอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุสำหรับคนเดินเท้าและยานพาหนะที่อยู่อีกฝั่งของถนน
- การจอดรถตามโรงแรมหรือร้านจอดบางแห่งจะมีค่าบริการในการจอดต้องสังเกตป้ายหรือสอบถามเจ้าหน้าที่ให้ดีนะครับ บางแห่งก็จะเป็นคนมาเก็บเงินหรือบางแห่งก็จะเป็นเครื่องจอดอัตโนมัติครับ
มีปัญหาติดต่อที่ไหน?
ระหว่างเดินทางอาจจะเกิดปัญหาเกี่ยวกับรถยนต์ได้ครับ ไม่ว่าจะเป็นแบตเตอรี่หมด ลืมกุญแจรถเอาไว้ หรือว่าอุบัติเหตุ ดังนั้นสิ่งที่จำเป็นต้องทำเป็นอันดับแรกก็คือโทรติดต่อบริษัทเช่ารถของเราครับ ซึ่งมักจะมีค่าบริการคิดเพิ่มไปด้วย ส่วนหมายเลขโทรศัพท์ฉุกเฉินที่จำเป็นจะต้องจดเอาไว้ติดตัวก็คือ
• 110 เรียกตำรวจ
• 119 เรียกรถพยาบาล
• 8139 เบอร์ของสมาพันธ์รถยนต์แห่งญี่ปุ่น
• 9910 เบอร์ติดต่อเมื่อเกิดฉุกเฉินบนท้องถนน
การเติมน้ำมัน และการจ่ายเงินที่ปั๊ม
ส่วนมากปั๊มน้ำมันจะอยู่บริเวณตามตัวเมืองหรือถนนสายหลักที่มีการจราจรหนาแน่นครับ แต่ถ้าออกนอกเมืองอาจจะไม่ค่อยมีปั๊มเท่าไหร่นัก ดังนั้นอาจจะต้องศึกษาเรื่องของสถานที่ตั้งของปั๊มตามเส้นทางที่เราจะขับรถผ่าน และอีกเรื่องก็คือเวลาเปิดปิดของปั๊มเพราะว่าบางแห่งก็เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง แต่บางปั๊มอาจจะปิดหลัง 6 โมงเย็นก็ได้ ดังนั้นควรจะต้องเติมน้ำมันให้เต็มถังอยู่เสมอจะดีกว่าครับ
ปั๊มน้ำมันที่ญี่ปุ่นจะเป็นลักษณะมีทั้งเด็กปั๊มและแบบที่บริการตนเองครับ ส่วนน้ำมันที่เติมนั้นเจ้าหน้าที่ศูนย์รถเช่าจะบอกเราตั้งแต่แรกว่ารถคันนี้ใช้น้ำมันอะไร ซึ่งที่ญี่ปุ่นจะมีน้ำมันให้เลือกอยู่ 3 แบบด้วยกัน
• สีเขียว คือ น้ำมันดีเซล
• สีเหลือง คือ เบนซินพรีเมี่ยมที่มีค่าออกเทนสูงไร้สารตะกั่ว
• สีแดง คือ regular หรือว่าเบนซินธรรมดา ซึ่งส่วนมากจะเติมสีแดงครับ
ตามกฎกติกาแล้วเราต้อง "เติมน้ำมันให้เต็มถังก่อนคืนรถ" เจ้าหน้าที่ศูนย์รถ จะมีแผนที่ให้ว่าบริเวณนี้มีปั๊มอยู่ตรงไหนบ้าง ค่าน้ำมันที่ญี่ปุ่นถือว่าแพงกว่าที่เมืองไทยครับนิดนึงประมาณ 150 ถึง 160 เยนก็ประมาณ 50 บาทถือว่าแพงครับ
===============
สุดท้ายก็คือ เรื่องการคืนรถ นั้นต้องคืนให้ตรงเวลาที่เราจองไว้ตั้งแต่ตอนแรกครับ มิฉะนั้นอาจจะโดนค่าปรับได้ หากใครเช่ารถใกล้สนามบิน อาจจะต้องเผื่อเวลา ในการเดินทางที่ศูนย์เช่ารถไปยังสนามบิน ด้วย บางทีอาจจะต้องรอลูกค้าท่านอื่นไปพร้อมกัน ดังนั้นต้องเผื่อเวลาส่วนนี้ไว้ให้มากสักหน่อยครับ
ขอบคุณข้อมูล และภาพประกอบ : KΔNT