หากใครกำลังวางแผนที่จะไปเที่ยวภูกระดึง ต้องรู้ก่อนนะว่าอุทยานแห่งชาติภูกระดึงมีกำหนดปิด-เปิดนะ เพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว และให้ธรรมชาติได้พักฟื้นซะหน่อย หลังจากแต่ละปีจะมีนักท่องเที่ยวไปเยี่ยมชมอย่างมาก ช่วงที่ปิดฤดูการท่องเที่ยวคร่าวๆ ก็ประมาณเดือนมิถุนายน - เดือนกันยายน ของทุกปี เอาเป็นว่าถ้าใครคิดจะไปเที่ยวก็ติดตามข่าวจากอุทยานเป็นระยะๆ นะจ๊ะ หากเพื่อนๆ ต้องการจองห้องพักของทางอุทยานภูกระดึง ติดตามที่เว็บไซต์ https://nps.dnp.go.th/parksdetail.php?id=62 นะจ๊ะ เพราะมีช่วงเวลาให้เปิดจอง และอย่าลืมจองคิวขึ้นภูกระดึง ลงทะเบียน แอป QueQ ก่อนนะ พร้อมแล้ว...ไปลุยกันเลย DAY 1 ใจสู้ หรือเปล่า เราเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว คืนวันที่ 3 ก.พ. 66 นะ มาถึงแถวๆ ภูกระดึงประมาณ 05.00 น. เราแวะกินข้าวเช้า เติมพลังก่อนที่ ร้านเจ้กิม เป็นร้านอาหารเช้า พร้อมเป็นที่ขึ้นรถสองแถวไปยังอุทยานภูกระดึงด้วยนะ ครบจบที่เดียวเลย หลังจากท้องอิ่มก็พร้อมลุย เราถึงภูกระดึงเวลา 06.30 น. เสียค่าเข้าอุทยาน คนละ 40 บาท สำหรับยานพาหนะก็ตามเรทของทางอุทยานนะ จากนั้นก็ไปติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อลงทะเบียน โดยเราได้ลงคิวไว้ที่ แอป QueQ ไว้แล้วนะ จากนั้นก็ไปติดต่อเจ้าหน้าที่ที่ดูแลห้องพักของอุทยาน เราจองบ้านพัก แล้วก็ซื้อประกันไว้ด้วยนะ คนไทย 10 บาทเอง เผื่อไว้ก่อนอุ่นใจ เสร็จขั้นตอนนี้ก็ไปต่อจุดที่ฝากสัมภาระ เอากระเป๋าไปชั่งน้ำหนักเพื่อให้ลูกหาบทำงานต่อ ถ้าทางราบอะยังมีหยุดคิดนะ แต่พอบอกขึ้นเขา อย่างเราต้องใช้เงินแก้ปัญหาเลย ประมาณกิโลละ 30 บาท เริ่มเดินขั้นก็ประมาณ 07.30 น. ต้องลงทะเบียนกับเจ้าหน้าที่ตรงทางขึ้นก่อนนะ วันที่เราไป (4 ก.พ.66) อากาศดีอยู่นะ เนื่องจากมีฝนตกจากเมื่อคืน ทำให้มีหมอกและอากาศเย็น แดดก็ไม่มี ไม่ร้อนอบอ้าว ดีงามมากๆ จนถึงซำแฮก อยากจะบอกว่าคุ้มค่านะ มีทะเลหมอกให้ชมด้วย แล้วแถมนักท่องเที่ยวน้อย ไม่แย่งกันถ่ายรูปมีพื้นที่ให้เลือกตามใจเลย แต่คนที่จะมาต้องเตรียมใจมาอย่างคือ ของกินราคาแพงกว่าปกติเยอะเลย แต่เค้าว่ากันว่า กินแตงโมที่ภูกระดึงอร่อย ชื่นใจสุดๆ จริงไหมต้องมาลอง จากนั้นก็เดินทางต่อไปอีกสักพัก จนถึง ซำกอซาง แวะเติมพลังกันก่อน แต่ฟ้าฝนคงเห็นใจ กลัวจะร้อน ฝนก็เทลงมาเลย เราก็คิดว่าจะให้ฝนหยุดตกก่อนค่อยเดินทางต่อ แต่ดูท่าทางแล้ว ไม่น่าจะหยุดตกง่ายๆ แม่ค้าบอกว่าฝนตกแบบนี้เดินง่ายกว่าฝนหยุดนะ ถ้าจะไปต่อก็ไปเลย จริงอย่างที่แม่ค้าบอกนะว่า มันเดินไม่ยาก เพราะจะเห็นทางน้ำไหล เราเลือกเดินได้ และจะไม่ลื่นเท่าไหร่ เราซื้อเสื้อกันฝนจากร้านที่นั่งพักมาด้วย ตัวละ 40 บาท ยังไงก่อนมาก็เช็คสภาพอากาศกันสักหน่อยนะ เราก็เดินท่ามกลางสายฝนไปเรื่อยๆ เราเดินท่ามกลางสายฝนมาถึง ซำแคร่ จะเป็นซำสุดท้ายก่อนที่จะขึ้นไปถึงหลังแปร นั่งพักขาอีกสักรอบ พร้อมกับเติมพลังงานด้วยไข่ต้ม ข้าวเหนียวปิ้ง และกล้วยปิ้ง ราคาอย่างละ 10 บาท แถมแม่ค้าใจดีมาก และเส้นทางซำสุดท้ายก่อนที่จะถึงหลังแปร คือต้องมีสติ สายตาต้องมองเส้นทางตลอด เพราะต้องเดินไต่หิน หลบหลีกก้อนหิน ปีนบันได ต้องเดินอย่างระมัดระวังสุดๆ ฝนก็ยังไม่หยุดตก ตกจริงจังมาก จากหลังแปรเดินต่อไปยังตัวอุทยานฯ อีก 9 กิโล ประมาณนี้ แต่เป็นทางเรียบ ก็จะสบายหน่อย ฝนก็เริ่มหยุดตกแล้ว เดินไปคุยไปสักพักก็ถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เราถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยวประมาณ 14.30 น. อุณหภูมิตอนที่มาถึงอุทยานคือ 20 องศา อากาศกำลังดี หากใครวางแผนแล้วอยู่แนะนำให้เอาของใช้ส่วนตัว เสื้อผ้าติดมาสักชุดนะ จะได้ไม่ต้องรอของที่ฝากลูกหาบมา เพราะอาจจะต้องรอนาน ที่พักของอุทยานฯ ไม่มีปลั๊กไฟให้ชาร์จไฟนะ ไฟฟ้าสามารถใช้ได้ตอน 6 โมงเย็น และหยุดให้บริการตอน 4 ทุ่ม สัญญาณอินเตอร์เน็ตใช้ได้แค่บางเครือข่าย หากต้องการชาร์จแบตมือถือ ต้องไปชาร์จตามร้านอาหารนะ หรือเตรียมแบตสำรองติดมาด้วยก็ดีนะ และอาหารมื้อแรกที่กินกันจริงจัง คือ หมูกระทะ และชาบู ไม่รู้มันอร่อยหรือว่าหิว คือเกลี้ยงทุกอย่าง จากนั้นก็แยกย้ายกันไปเตรียมตัวนอน จะบอกว่าไม่เคยนอนเร็วขนาดนี้เลย 19.30 น. DAY 2 เดินพิชิตเคาเตอร์เพน เช้านี้ (5 ก.พ 66) เราจัดโจ๊กหมูก่นเลย ร้านอาหารที่นี่จะขายอาหารคล้ายๆ กันคือ มื้อเช้าจะเป็นประเภทโจ๊ก ไข่กระทะ ปาท่องโก๋ กาแฟ นม ตอนเย็นก็จะหมูกระทะ ชาบู ประมาณนี้ แต่กว่าพวกเราจะกินอาหารเช้าเสร็จ ทำภาระกิจส่วนตัวเรียบร้อย กว่าจะได้เดินทางเที่ยวชมธรรมชาติได้ก็ปาไปเกือบ 10 โมงเช้า เราเลือกวิธีการเดินชมธรรมชาติ ตั้งใจมาดูต้นเมเปิลสีแดงที่โดดเด่นข้างน้ำตก ไม่มีสีแดงเลย มีแต่สีเขียว แต่อากาศดี ฟังเสียงน้ำตกไปเพลินๆ เส้นทางที่เดิน ไม่ได้ยาก ไม่ต้องปีน ส่วนใหญ่จะเป็นทางเรียบ ไต่เขานิดๆ หน่อยๆ จากน้ำตกเพ็ญพบใหม่ -น้ำตกโผนพบ - น้ำตกถ้ำใหญ่ ตรงน้ำตกถ้ำใหญ่ ยังมีต้นเมเปิลให้เห็นหลายต้น แต่มาช่วงนี้ก็จะไม่เจอเต้นเมเปิลสีแดงหรอก ถ้ามาหน้าใบไม้ผลิน่าจะแดงสวยสุดๆ หากใครจะมาต้องเช็คช่วงเวลากันด้วยนะ จากที่พักเดินเที่ยวมาเรื่อยๆ คิดว่าไม่ไกล แต่ใช้เวลาเยอะเหมือนกัน มาถึงทางแยกบอกทาง ก็ประมาณ บ่าย 2 กว่าๆ เรามองหน้ากันแล้วถามว่าจะไปต่อหรือพอแค่นี้ จากระยะทางบวกกับความหิวเลยเลือกเส้นทางที่สั้นที่สุด เส้นทางทุ่งสาวันนา ที่เรียกแบบนี้ เพราะข้างทางไม่มีต้นไม้ใหญ่ให้พักร่มเลย จากสายตาที่มอง คือไกลมาก กว่าจะถึงผานาน้อย มาถึงผานาน้อยจะเจอร้านข้าว ร้านเดียว ชื่อ ร้านลูกสน อาหารอร่อยแถมให้เยอะสมราคา และวันนี้วิวเป็นใจด้วย กินข้าวเที่ยงพร้อมกับหมอกลอยมาเบาๆ มีลมหนาวเย็นๆ และที่สำคัญเจ้าของโครตดีด เอ็นเตอร์เทนลูกค้าสุดๆ เป็นทั้งเจ้าของร้าน พ่อครัว นักร้อง นักดนตรี ประทับใจมาก ไม่คิดว่าจะเจอแบบนี้เลย ถ้ามีโอกาสไปอีกจะต้องแวะอุดหนุนอีกแน่ๆ ถ้าร้านไม่ปิดไปก่อนนะ เดินไปอีกยาวๆ ผ่านผาเหยียบเมฆ ผาแดง จนไปถึงผาหล่มสัก ประมาณ 17.30 น. วันนี้ฟ้าปิดมาตั้งแต่เช้าแล้ว แต่ก็หวังว่ามาถึงผาหล่มสักฟ้าจะเปิด นักท่องเที่ยวถ่ายรูปจุดแลนด์มาร์กของภูกระดึงอยู่พอสมควร มีการเข้าคิวในการถ่ายภาพ ให้กำลังใจกัน มีบอกมุมกันด้วย น่ารัก ^^ เรานั่งพักเหนื่อย เก็บภาพ เก็บบรรยากาศด้วยสายตาสักพัก ก่อนกลับก็ไปชิมกาแฟ โกโก้ หวังจะเติมพลังก่อนกลับที่ร้านคาเฟ่เล็กๆ อยู่ที่ซุ้มขายอาหาร รสชาติดีเลย จนเวลา 18.00 น. พ่อค้ากาแฟบอกว่า ฟ้าเปิดแล้วนะ พระอาทิตย์กำลังจะตก เราก็เลยรีบไปที่ผากันอีกรอบ มาครั้งนี้ ถือว่าคุ้มค่าที่มาจริงๆ ถึงแม้ฟ้าจะไม่ได้เปิดทั้งหมด แต่ก็ได้เห็นภาพพระอาทิตย์ตกสวยสมราคามาก จากที่นั่งชมความสวยงามของธรรมชาติยามเย็นกันจนอิ่มใจ ก็ต้องรีบกลับ เพราะพระอาทิตย์ตกปุ๊บ แปปเดียวก็มืดเลย เราก็ลุ้นตลอดทางว่าจะมีพี่ใหญ่มาเดินด้วยไหม ระยะทางเดินกลับอีก 9 กิโล เราเป็นกลุ่มรองสุดท้ายที่เดินกลับ เพราะบางคนกลุ่มเค้าปั่นจักรยาน ที่อุทยานมีให้บริการเช่าจักรยาน สำหรับคนที่ไม่สะดวกที่จะเดินหรือมีเวลาน้อย บางคนก็เดินกลับไปก่อนที่พระอาทิตย์จะตก เราเดินจากผาหล่มสัก ไปถึงที่พักอุทยานฯ ใช้เวลาประมาณ 3 ชม. กว่าๆ เร่งฝีเท้ากันถี่ยิบ แต่ล้ากันสุดๆ ก้าวขาแทบไม่ออกกันแล้ว ^^ แล้วต้องมาลุ้นกันอีกว่ากว่าจะไปถึงร้านอาหารจะปิดก่อนไหม เรามาถึงอุทยาน เวลาประมาณ 21.30 น. ตรงดิ่งไปที่ร้านหมูกระทะเลย ร้านไหนใกล้กินร้านนั้นเลย พอได้นั่ง อาการออกกันเลย ยกขาแทบไม่ขึ้น ไม่อยากจะเดินเลย วันนี้จบด้วยความสวยงามบนความปวดร้าว ทายา นวดขา นวดเท้า แล้วรีบเข้านอน DAY 3 กลับสู่ความเป็นจริง วันนี้ (6 ก.พ.66) ทุกคนรีบจัดการธุระส่วนตัวของตัวเองให้เสร็จ แล้วเอาของไปฝากให้ลูกหาบก่อนที่จะไปกินข้าวเช้า ตุนพลังงานก่อนเดินลงเขา คาดไว้ว่าจะลงถึงตัวอุทยานฯ ประมาณบ่าย 3 แต่วันนี้ร้อน อากาศร้อนเลย แทบไม่มีลมพัดเลย ผิดกับวันแรกที่ฝนตก กลางคืนหนาว วันนี้ตอนลงคนน้อย เหมือนเดินกันแค่เรา 555 ด้วยเส้นทางที่คนไม่ค่อยมี สำหรับขาลงคิดว่าง่ายนะ แต่ใช้หน้าขาเยอะสมควร แต่ก็ค่อยๆ เดินมา เวลาเป็นไปตามที่คาด บ่าย 2 นิดๆ นั่งรอลูกหาบอยู่สักพัก เพื่อรอสัมภาระของตัวเองก่อนจะเดินทางกลับ จบทริป 3 วัน 2 คืน บนภูกระดึง สุดจริงๆ มาครั้งนี้ เป็นครั้งแรกที่ได้มา แถมได้ครบทุกสภาพอากาศจริงๆ ฝน หนาว ร้อน แต่ถ้าเพื่อนๆ จะมาแนะนำก่อนเลยว่าสิ่งสำคัญ คือการเตรียมร่างกายก่อนมาขึ้นภูกระดึง ยังไงถ้าใครคิดวางแผนที่จะมาภูกระดึงต้องเตรียมร่างกายมาสักนิดนะ ยาสามัญต่างๆ ต้องเตรียมไปด้วยนะ ยานวด ยาคลายกล้ามเนื้อ ยาประจำตัว แล้วเรื่องรองเท้าควรเลือกนิดนึง เพราะจะช่วยเราได้เยอะเวลาขึ้นลงเขา และที่สำคัญคือ ใจ เพื่อนๆ คนไหนกำลังวางแพลนไว้ ลองไปสักครั้ง และขอให้เที่ยวสนุก เดินทางปลอดภัย ไม่เจ็บตลอดการเดินทางนะคะ ... ครั้งหนึ่งเคยไปมาแล้ว แต่กวินก็ยังอยากไปอีกครั้ง แล้วเจอกันใหม่ ภูกระดึง พิกัด : Phu Kradueng Districtเครดิตภาพโดย ผู้เขียน (Kawin)อยากไปเที่ยวไหนหรือเปล่า? หาข้อมูลที่เที่ยวสุดปังได้ที่ App TrueID โหลดเลย ฟรี !