จิตใต้สำนึกของความเป็นมนุษย์มักเรียกหาอะไรบางอย่างให้เราเดินทางกลับไปอยู่ในสถานที่ที่ควรจะเป็น โลกปัจจุบันทำให้เราเห็นว่าการไปธรรมชาติถือว่าเป็นการท่องเที่ยวไม่ใช่การอยู่อาศัย จึงไม่แปลกใจที่มีนักเดินทางมากมายที่ออกเดินทางกลับไปสู่โลกธรรมชาตินับครั้งไม่ถ้วน มนต์เสน่ห์ที่มีมากมายก่อตัวจากการเป็นกระทู้รีวิวการท่องเที่ยวภูกระดึง ภูที่มีชื่อเสียงโด่งดังอาจเป็นเพราะครั้งหนึ่งในชีวิตทุกคนควรจะมาพิชิตมัน ฉันเองก็เป็นหนึ่งในนั้นที่คิดว่าควรใช้ชีวิตในอายุที่มีแรงปีนภูพิชิตภูกระดึง ด้วยอายุที่เพิ่งจะผ่าน21มาหมาดๆ ก็คิดว่าน่าจะพร้อมสำหรับการเดินทางครั้งนี้ ฉันตัดสินใจไปกับเพื่อนอีกหนึ่งคนซึ่งไม่เคยมีประสบการณ์ท่องเที่ยวเลยสักครั้งในชีวิต จุดประสงค์ของฉันไม่มีอะไรมาก ต้องการพิชิตภูกระดึงและไปในช่วงที่ไม่ใช่เทศกาล ฤดูฝนจึงตอบโจทย์ฉันมากที่สุดแต่ก็กังวลว่าจะไม่ได้ไปเห็นภาพวิวต่างๆที่สวยๆตามที่หวังไว้ การเดินทางเริ่มขึ้นแบบรวดเร็วและสะเพร่ามากเพราะแพ็คกระเป๋าไปหนักมากประมาณ7กิโล และมีกล้องไปอีก1ตัว ซึ่งเป็นน้ำหนักที่มากสำหรับผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่เคยรู้เลยว่ากระเป๋าที่แบกนั้นต้องฝ่าฟันไปกับหินชัน ก้าวขึ้นภูเวลา 7.45น. ตอน8.00น. เสียงเพลงชาติดังขึ้น ตอนนั้นเองเป็นจังหวะเดียวกับที่ฉันกับเพื่อนเลือกเดินเส้นทางผิด เราเดินเลี้ยวไปในเส้นทางที่ไม่มีทางขึ้นต่อ เป็นทางผาลาดขึ้นตรงซึ่งพอขึ้นไปแล้วเราคิดว่าไปต่อไม่ได้แน่ๆ เลยตัดสินใจหันหลังกลับเพื่อไปอีกเส้นทางหนึ่ง จังหวะที่ลงเราไถลลงมาโชคยังเข้าข้างที่มีหินใหญ่ๆหนึ่งก้อนกั้นเราไม่ให้ตกเนิน ฉันกับเพื่อนเหมือนเป็นผู้หญิงสองคนในป่าใหญ่ เพราะไม่มีคนเดินป่าเลยสักคน ช่วง1กิโลเมตรแรกชันมาก ถอดใจตลอดทาง แต่ฉันกับเพื่อนมีกำลังใจเดินต่อเพราะมีหมาที่นำทางนักท่องเที่ยวขึ้นภูเดินขึ้นไปพร้อมกับเราด้วย คนแถวนั้นจะเรียกว่า “เซเลปแดง” เรียกเหมือนกันทุกตัวเพราะขนสีส้มทุกตัว เมื่อถึงซำแฮก เราถึงกับร้องเย้ เพราะดีใจมากเมื่อมาถึงพิกัดตามที่แผนที่บอกสำเร็จเป็นจุดแรก แต่นั้นไม่จุดหมายปลายทาง นั้นเป็นเพียงแค่ระยะแรกที่เราต้องเจอ เมื่อเดินไปเรื่อยๆตลอดเส้นทางเราก็พักกันตลอดพักบ่อยมาก จนกระทั่งซำแคร่ซำสุดท้าย หมดซำนี้เราต้องเดินไปอีก1กิโลเพื่อพิชิตยอด ระหว่างนั้นเองก็มีกลุ่มนักเรียนจากสาธิตจุฬามาทักทายอยู่5คน น้องผู้ชายอาสาจะแบกของให้เราสองคนแต่ฉันคิดว่า น้องอุตส่าจ้างลูกหาบหาบของแล้วมาแบกของเราเนียะนะ ไม่เอาหรอก ฉันจึงปฎิเสธตลอด แต่น้องบอกว่าทางข้างหน้าจะเริ่มเป็นบันไดสักส่วนใหญ่ถ้าพี่แบกของเองคงไม่ไหว แต่ฉันก็ยืนยันคำเดิม แน่นอนว่า1กิโลเมตรสุดท้ายทั้งชันและต้องปีนบันไดขึ้นไป เราพักกันบ่อยมากแต่น้องๆก็รอเราเป็นความประทับใจเล็กๆน้อยๆที่คนเดินภูจะมีร่วมกัน ไม่นานก็ถึงยอดภู(หลังแป) ท้องฟ้ามืดครึ้ม ฝนตกปรอยๆพอเป็นพิธีเหมือนฉลองชัยชนะว่าฉันถึงยอดภูแล้ว แต่ก็สร้างความผิดหวังให้ฉันไปอีก ในเมื่อฉันคิดว่าขึ้นไปก็จะถึงอุทยานวังกวางจุดกางเต็นท์พอดี แต่ไม่ใช่เราต้องเดินเท้าไปอีก3กิโล แต่เป็นเส้นทางเรียบเดินง่าย เดินไปสักพักเริ่มเหนื่อยและท้อมาก วิวข้างทางสวยงามแต่ก็ไม่มีกระจิตกระใจหันมองแล้วสร้างแรงบันดาลใจให้เดินต่อไป ขณะที่ฉันกำลังเดินอย่างท้อใจว่าเมื่อไหร่จะถึงสักที ตอนนั้นเองก็ได้ยินเสียงสัตว์ใหญ่คำราม มันเป็นเสียงที่น่ากลัวมากอยู่ในป่า ฉันวิ่ง มันก็วิ่งเสียงเหยียบใบไม้ในป่าชัดเจนมาก ตอนนั้นล่ะที่กลัวตายที่สุดในชีวิต กระป๋งกระเป๋าเจ็ดโลอะไรนั่นกับขาที่ปวดร้าว ลืมไปเลยฉันวิ่งแบบไม่คิดชีวิต แต่ก็บอกให้เพื่อนรอด้วยเพราะเพื่อนเดินนำฉันไปไกล แทนที่เพื่อนจะรอ เพื่อนกลับวิ่งหนีฉันไปไกลกว่าเดิม จนกระทั่งเพื่อนหยุดวิ่งแล้วหันมายิ้มให้ฉัน อ่อถึงอุทยานวังกวางพอดี ทันทีที่ถึงอุทยานฉันทำการติดต่อเต็นท์ที่นอนกับเจ้าหน้าที่อะไรเรียบร้อย ก็ได้เต็นท์ที่อยู่ในที่ร่มคือหอประชุมอีกทีเพราะเจ้าหน้าที่บอกคนน้อยและฝนตกลมแรง หลังจากจัดแจงข้าวของเสร็จพวกเราอาบน้ำ และกินข้าว พอเริ่มห้าโมงเย็นเราเดินทางไปที่องค์พระพุทธเมตตา ระยะทางไม่ไกลมาก200เมตรจากอุทยานวังกวาง ในขณะที่ยืนรอพระอาทิตย์ตก ฉันก็ยังได้ยินเสียงคำรามของสัตว์เหมือนเดิม แล้วก็คิดในใจว่า ถ้ามันเป็นสัตว์อันตรายจริงๆฉันคงไม่รอดแล้วล่ะ เสียงนั่นน่าจะเป็น หมูป่าฮ่าๆ พอคิดได้เช่นนั้นเลยหันไปบอกเพื่อนเพราะกลัวเพื่อนจะตกใจ แต่ไม่เลยเพื่อนบอกว่าตอนที่ฉันวิ่งมามันหันหลังไปดูแล้วปรากฏว่าเป็นหมูป่าตัวอ้วนๆดำๆ มันเลยหยุดยิ้ม โถ่แล้วทำไมไม่บอก พระอาทิตย์วันนี้ตกไม่สวยเลย แสงแดดแตก ภาพข้างหน้าไม่เป็นอย่างที่เราหวังแสงสีเหลืองทองที่ทอดยาวเต็มท้องฟ้า เพราะเราตั้งความหวังว่าจะเห็นพระอาทิตย์ดวงสีแดงกลมๆ แต่ก็เก็บภาพมาหลายภาพ เราเดินทางกลับที่พักและไปนั่งเล่นที่ร้านขายของ ตอนกลางคืนจะมีกวางหนุ่ม กวางสาวมาขออาหารนักท่องเที่ยว ได้ใกล้ชิดมาก ตอนนั้นเองเพิ่งรู้สึกว่าตัวเองมีความสุข เหมือนได้พักผ่อนเพราะได้นั่งเฉยๆคุยกับนักท่องเที่ยว คุยกับป้าเจ้าของร้านอาหารก็สนุกไปอีกแบบ ตื่นเช้าตีสี่ครึ่งเพราะเมื่อตอนเย็นเจ้าหน้าที่ตะโกนบอกว่าใครต้องการไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ผาหมากดูก ให้มาเจอกันที่หน้าอุทยานเวลาตีห้า นักท่องเที่ยวน้อยมากมีทั้งหมด8คน เราก็ทักทายทำความรู้จักกันและชวนกันเดินทางไปทริปเดียวกัน แต่ก็รวมกลุ่มกันได้สี่ห้าคน ตอนเดินไปผาหมากดูกเป็นเส้นทางที่มืดมาก 2กิโลกับอากาศที่เย็นๆ บรรยากาศดีมากเมื่อฟ้าเริ่มสว่างฉันเพิ่งจะสังเกตป่าต้นสนสามใบ มันสวยมากเหมือนในหนังทไวท์ไลท์ เราไปถึงผาหมากดูกใช้เวลาไปแค่20นาทีกว่า เตรียมขาตั้งกล้องไปเรียบร้อย ทะเลหมอกแน่นมาก สวยงามมาก ทุกคนมีจุดถ่ายรูปของตัวเอง พวกเรานั่งรอพระอาทิตย์ขึ้นนานมาก นานจนพี่เจ้าหน้าที่เดินกลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ 555 ทะเลหมอกเริ่มหาย ท้องฟ้าสว่างมากแต่พระอาทิตย์ก็ไม่ขึ้นสักที เราถ่ายบรรยากาศเก็บไว้แต่ก็อดน้อยใจไม่ได้ที่ไม่เห็นพระอาทิตย์ขึ้น 8 โมงเป๊ะ พวกเรากินข้าวและซื้อข้าวเพื่อกินระหว่างทางเป็นที่เรียบร้อย ออกเดินทางกันสี่คนและไปเจอพี่ที่องค์พระอีกหนึ่งคน พวกเราเหมือนแก็งค์เด็กมหาลัย เพราะฉันมาจากม.บูร ส่วนเพื่อนและพี่มาจากม.ขอนแก่น การเดินทางครั้งนี้ฉันสะเพร่าแบบที่สุดของที่สุดเพราะก่อนออกเดินทางแดดแรงมากจนคิดไปว่าฝนไม่น่าจะตก ไม่เอาชุดกันฝนไปด้วย แต่เมื่อเดินมาได้สองชั่วโมง ท้องฟ้าทั้งภูเปลี่ยนสี เมฆก้อนใหญ่ปกคลุม สายฝนเม็ดใหญ่สาดกระหน่ำตลอดการเดินทางไปผาหล่มสัก ตอนนี้ทุกคนเริ่มเดินแยก ต่างคนต่างเดินเพราะฉันเป็นคนเดินช้ามากแต่ทุกคนเดินเร็ว เพื่อนกับฉันจึงเดินปิดท้าย ทั้งเนื้อทั้งตัวก็เหลือถุงพลาสติกห่อข้าวที่จะพอช่วยไม่ให้กล้องเปียกฝน ฉันมัดอย่างดีและใส่เข้าไปในเสื้ออีกที ด้วยความที่ฉันใส่รองเท้าแตะแล้วดินลื่น บางที่ดินก็เหลวคล้ายโคลนทำให้ฉันตัดสินใจถอดรองเท้าเดิน เดินสบายกว่าใส่รองเท้ามาก เมื่อถึงผาหล่มสักฝนหยุดตกพอดี เรานั่งกินข้าวริมผากัน เจอเพื่อนใหม่อีกสองคนเป็นการทำความรู้จักที่สนุกดีเหมือนกัน ผลัดกันถ่ายรูปมุมสุดฮิต วิวด้านล่างมองแล้วสบายตาสบายใจเราก็นอนพักกันพอหายเหนื่อย เมื่อเริ่มเดินทางต่อ ฝนก็ตกหนักอีก แต่เราก็หยุดเดินไม่ได้เพราะไม่มีที่พัก พวกเราเดินเลียบผาไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงผาเหยียบเมฆฝนก็หยุดตก ผาเหยียบเมฆสวยงามมาก มากขนาดที่ฉันนั่งพักดูวิวด้านล่างนานมาก สวรรค์ชัดๆทะเลหมอกหลังฝนตกช่างสวยงามอะไรขนาดนี้ สักพักเราออกเดินทางกลับที่พัก เลือกเส้นทางที่คิดว่าใกล้คือ ผาเหยียบเมฆไปยังสระอโนดาตและเดินกลับทางเดิมที่เคยเดินมา ตามแผนที่ที่ได้ถ่ายรูปมาจากร้านค้าทำให้เราวิเคราะห์ออกมาเป็นแบบนี้ เส้นทางนี้น่าจะใกล้สุด เมื่อเริ่มเดินเข้าป่าฝนเม็ดใหญ่ก็ตกลงมาอีกตกๆหยุดๆหลายครั้ง มีนกออกมาบินทั่วท้องฟ้า บรรยากาศน่ากลัวไปหน่อย ถึงอุทยานวังกวางประมาณสี่โมงเย็น ตกกลางคืนกลุ่มอื่นๆก็เริ่มเดินกลับมา มีแต่คนบอกว่าเส้นทางที่เราไปมันผิดเส้นทาง ถ้าจะลัดให้เดินไปอีกเส้นทางหนึ่ง แอบเสียใจเล็กน้อยที่เลือกเดินผิดคิดว่าจะใกล้แต่ไกลกว่าเดิม คืนนั้นทั้งคืนตั้งแต่ตีหนึ่งจนเช้าเรียกว่าไม่ได้นอนก็ว่าได้ เพราะลมแรงมากตีเต็นท์ตลอดทั้งคืน ตอนแรกฉันก็คิดว่าเจ้าป่าเจ้าเขาหรือเปล่า ในใจกลัวมาก แต่เช้ามาทุกคนที่จะลงภูก็มาคุยกันว่าไม่ได้นอนเหมือนกัน ลมแรงเต็นท์กระพรือฮ่าๆ บทตอนจะลงภูฉันกับเพื่อนจ้างลูกหาบเพราะคงแบกไม่ไหว ตอนนั้นมีแต่คนบอกว่าลงภูใช้เวลาเร็วไม่เหนื่อยแปปเดียวก็ถึง แต่ความเป็นจริงมันเหนื่อยมากเพราะขาที่ล้าและต้องพยุงตัวเองจากหินที่ลาดลงด้านล่าง ขากลับเห็นทั้งควายอาบน้ำโคลนและวัวที่ขึ้นมากินหญ้า น่ากลัวหน่อยเพราะพวกเราไปเดินผ่านเส้นทางที่พวกมันเดิน ทำให้มีการประจันหน้ากันแต่ฉันก็หลบมาได้ เดินทางกลับชลบุรีด้วยความเหนื่อยล้า นอนอยู่บนที่นอนแล้วดูรูปไปเรื่อยๆน้ำตากลับไหลออกมา ไม่ผิดหวังเลยที่เลือกไปช่วงฤดูฝน กลับคิดถึงมากตอนนึกย้อนกลับไปช่วงที่เหนื่อยและลำบากพอผ่านมาได้แค่นั่งพักจู่ๆมันก็คิดเองว่ามันผ่านมาแล้ว มันถึงที่หมายแล้ว เราไปพบสิ่งที่สวยงามมากและไปเจอเพื่อนที่มีอุดมการณ์เดียวกันเยอะมาก สิ่งที่เราคาดหวังแล้วไม่พบก็ไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายแต่กลับมีอะไรใหม่ๆให้เรามอง การเดินทางครั้งนี้เป็นจุดประกายนักล่าภูในตัวฉันมาก ปรัชญามากมายที่เคยอ่านในหนังสือกลับมีบทบาทตอนชีวิตได้ทดลองถูกใช้งานจริง บทเรียนบางบทถูกสร้างในความทรงจำเพื่อไม่ให้เรากลับไปเจ็บปวดซ้ำ แต่บทเรียนบางบทก็สร้างความอยากซ้ำในการกระทำเพราะคิดว่าเมื่อเราเริ่มมันเราจะมีความสุขเหมือนเช่นตอนนั้น