เมื่อลมหนาวมาถึง สถานที่ยอดฮิตที่ขาดไม่ได้ก็คือ .. การขึ้นเขาไปรับลมหนาวนั่นเอง ~ วันนี้ผู้เขียนจะพาทุกท่านไปขึ้นเขาที่เพชรบูรณ์กันค่า จุดหมายของเราในวันนี้ก็คือ .. "Pino Latte" เป็นคาเฟ่แห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากวัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว ขับรถขึ้นเขามาเพียงนิดเดียว แค่ 10 นาทีก็ถึงแล้วค่า อาจจะไม่ค่อยมีภาพบรรยากาศภายในร้านมากเท่าไหร่นะคะ เพราะแม้จะไม่ใช่ช่วง High season แต่ก็มีคนมาท่องเที่ยวชมวิวอยู่ในคาเฟ่ค่อนข้างเยอะมากเลยค่ะ ก็เลยเกรงใจที่จะยกกล้องขึ้นแชะภาพ TT ส่วนหนึ่งอาจเพราะพื้นที่ที่จำกัด ประกอบกับช่วงสาย ๆ เริ่มมีแดดออก คนเลยมากระจุกตัวนั่งกันอยู่ในโซนร่ม ๆ หน้าร้าน ทำให้คนดูกระจุกกันเยอะ แต่ไม่ต้องกังวลไปนะคะ แม้ตรงหน้าร้านจะคนแน่น แต่รอบ ๆ ร้านก็มีโซนนั่งอื่น ๆ อีกมากมาย แสงแดดในหน้าหนาวไม่ร้อนเลยค่ะ ผู้เขียนไปทดลองนั่งมาเป็นชั อย่างที่บอกนะคะว่าคาเฟ่นี้อยู่บนเขา เพราะฉะนั้นจะมีมุมหนึ่งของร้านที่มองลงไปแล้วจะเห็นพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ที่วัดพระธาตุผาซ่อนแก้วชัดเจนเลยค่ะ แปลว่าความสูงของคาเฟ่นี้อยู่สูงกว่าผาซ่อนแก้วอีกนะคะเนี่ย .. ถ้าใครเมารถเมารา ก็อาจพกยาแก้เมาไปเผื่อด้วยก็ได้นะคะ แม้จะเดินทางไม่นาน แต่ทางก็โค้งใช้ได้เลยค่ะ วันนี้ผู้เขียนสั่งมาเป็นเครื่องดื่ม "Pino Latte" ราคา 105 บาท เป็นเมนูที่ชื่อเหมือนชื่อร้านเลย เลยทดลองสั่งค่ะ ไหน ดูซิ ว่าเมนูที่เหมือนชื่อร้านจะอร่อยแค่ไหนกันเชียว และคุณพ่อคุณแม่ของผู้เขียนสั่งมาเป็นเครื่องดื่ม "Strawberry Smoothie" ราคา 155 บาทค่า ส่วนใหญ่ราคาเมนูของทางร้านจะ 100+ นะคะ อาจจะต้องพกเงินไปให้พอเหมาะสมนิดนึง แต่รับรองว่าเงินทุกบาทที่เสียไปคุ้มค่าแน่นอนค่ะ เพราะอร่อยมากกกก และวิวที่ได้จากร้านก็สวยมากกกก เรียกได้ว่าเสียไปหลักร้อย แต่ได้รสชาติและวิวหลักล้านกลับมาก็ว่าได้ค่ะ ก่อนที่จะไปเรื่องวิว ผู้เขียนขอแนะนำนวัตกรรมหนึ่งของร้านก่อนนะคะ เพราะประทับใจมากเลยค่ะ ประสบการณ์ใหม่มาก ๆ .. น้องเครื่องกลม ๆ สีดำเครื่องนี้เป็นเครื่องเรียกคิวนะคะ เมื่อเราไปสั่งของที่เคาน์เตอร์เสร็จ คุณพนักงานจะให้ใบเสร็จและน้องกลม ๆ สีดำเครื่องนี้ให้เราค่ะ ซึ่งเราก็จะสามารถไปนั่งรอชิว ๆ หรือไปเดินเล่นรอบร้านได้ชมวิวได้ตามอัธยาศัยเลย ไม่ต้องพะวงยืนรอหน้าร้านรอเขาเรียกคิวเลยค่ะ เพราะเดี๋ยวน้องกลม ๆ สีดำเขาจะเตือนเองเมื่อถึงคิวเรา ตอนแรกก็แอบคาดเดาในใจค่ะ ว่า เอ๊ะ จะเตือนแบบไหนน้า อาจจะแค่สั่น ๆ แล้วมีไฟกระพริบละมั้ง .. สรุปพอน้องเตือนตอนถึงคิวจริง ๆ คือน้องมาทุก Options เลยค่ะ ไฟสีแดงเล็ก ๆ รอบ ๆ ตัวน้องจะขึ้นค้างไว้ และน้องจะสั่นแรงในระดับหนึ่ง ประกอบกับส่งเสียงร้องดังระดับหนึ่งด้วยค่ะ เรียกได้ว่าไม่ว่าทำอะไรอยู่ คุณก็จะได้ยินน้องเตือนว่าถึงคิวแล้วอย่างแน่นอน .... โฟกัสไม่ทัน เพราะต้องรีบเดินค่ะ เขินเสียงน้องเหลือเกิน .. ไม่แน่ใจนะคะว่าสามารถปิดเสียงการเตือนน้องได้ไหม แต่ผู้เขียนไม่ได้ลองหาทางปิดค่ะ รีบเดินไปรับก่อนเลยแล้วกัน เดินไปแบบชิค ๆ ให้ผู้คนมากมายระหว่างทางได้รับรู้ว่าถึงคิวของฉันแล้ว ! .. แท๊แด่แด๊นนนน เครื่องดื่มของเรามาแล้วค่าาา - "Strawberry Smoothie" อันนี้ผู้เขียนไม่ได้ลองชิมค่ะ เพราะไม่ค่อยถูกกับสตรอเบอรี่เท่าไหร่นัก แต่พอคุณแม่ดูดคำแรกแล้วตาลุกวาวบอกคุณพ่อเลยค่ะว่าอร่อยมาก และคะยั้นคะยอให้คุณพ่อชิมต่อให้ไวเลย .. รับประกันจากรีแอคชั่นของคุณแม่ได้เลยค่ะ ว่าเมนูนี้อร่อยแน่นอน ! - "Pino Latte" เครื่องดื่มที่ผู้เขียนสั่งนั่นเอง อร่อยมากกกกกกค่ะ เรียกว่ากาแฟลาเต้ได้เต็มปาก ถ้าใครเป็นสายตระเวนชิมกาแฟเช่นกัน น่าจะเข้าใจกันดีค่ะว่าบางร้านนี่ผสมรสชาติลาเต้เหมือนน้ำหวานมากเลยค่ะ หวานเจี๊ยบจนงงว่าเราสั่งกาแฟใส่นม หรือนมหวานรสกาแฟกันนะ .. แต่ที่นี่ไม่มีความขัดใจแบบนั้นเลยค่ะ ละมุนมากกก ไม่มีหวานแปร๋นแน่นอนค่ะ รสชาติละมุนกาแฟผสมนมจริง ๆ นั่งดื่มไป ชมวิวไป แปป ๆ กาแฟก็หมดแล้วค่ะ ดีต่อใจมากมาย รับประกันความอร่อยจากผู้เขียนเองเลยค่ะ ! ยังมีเมนูอื่น ๆ ที่เพื่อนร่วมทริปของผู้เขียนสั่งไป อาทิ เอสเปรสโซ่ นมร้อน ก็รับประกันความถูกปากจากเพื่อนร่วมทริปทุกท่านเช่นกันค่ะ หากใครอยากมาเที่ยวชมบรรยากาศ แต่กังวลเรื่องราคาเครื่องดื่ม เห็นเพื่อนร่วมทริปบอกว่าเมนูธรรมดาที่ราคาต่ำกว่า 100 บาทก็มีเช่นกันนะคะ เพื่อนร่วมทริปของผู้เขียนสั่งเป็นเอสเปรสโซ่มาค่ะ ราคาเพียง 85 บาท รสชาติอร่อยถูกปากเช่นกันแน่นอนค่ะ คอนเฟิร์ม ! นอกจากเครื่องดื่มแล้ว ทางร้านก็มีอาหารจานหลัก เช่น สปาเกตตี้ต่าง ๆ ด้วยนะคะ แต่ผู้เขียนไม่ได้สั่งมาลองชิมดู เพราะมีแพลนจะไปทานมื้อเที่ยงกันอีกที่หนึ่งค่ะ ต่อจากนี้ไปจะเป็นส่วนของการปารูปบรรยากาศใส่แล้วนะคะ เตรียมตัวเตรียมใจรับความสวยงามกันได้เลยค่า แม้จะไม่ได้ใช้กล้องโปรแบบช่างภาพ แต่วิวก็ทำให้รูปถ่ายสวยงามได้มากเหมือนเป็นกล้องโปรเลยทีเดียวเชียว ปิดท้ายการเยี่ยมชม Pino Latte ด้วยการแวะซื้อของฝากแถวตรงข้ามร้านค่ะ แนะนำเช่นกันนะคะ เป็นร้านเล็ก ๆ มีถั่ว ผลไม้อบแห้ง และของฝากอื่น ๆ ละลานตามาก เจ้าของร้านก็ยินดีแนะนำทุกอย่างเลยค่ะ ผู้เขียนเองก็หอบหิ้วถั่วกลับมากินกรุบ ๆ 1 ถุง อร่อยเพลินมากค่ะ พอชื่นชมบรรยากาศเต็มอิ่ม ถ่ายรูปกันไปเต็มที่ ผู้เขียนก็ได้ไปทานมื้อเที่ยงกันต่อที่สถานที่ใกล้ ๆ Pino Latte เลยค่า ซึ่งมีชื่อว่า "Takmoh (ตั๊กม้อ) และโรงเตี๊ยมสุดขอบฟ้า" ค่า แต่เนื่องจากตั๊กม้อเองก็มีสิ่งที่น่ารีวิวเยอะมากไม่แพ้กัน และยังเหลืออีกสถานที่หนึ่งที่เป็นสถานที่สุดท้ายสำหรับทริปรับลมหนาวนี้ ผู้เขียนเลยเกรงว่าหากรีวิวต่อไป บทความคงยาวเท่าถนนรถติดในเมืองกรุงเป็นแน่แท้ ... ฉะนั้นถ้ามีโอกาส ผู้เขียนจะหาโอกาสรวบรวมข้อมูลและมารีวิวให้ผู้อ่านได้ชมกันต่อให้ได้อย่างแน่นอนเลยค่า รอติดตามชมกันได้ในเร็ว ๆ นี้นะคะ ^^