หากใครที่เคยไปเที่ยวบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ ที่อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย คงจะสังเกตได้ว่าบริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่มีความพิเศษพอสมควร เนื่องจากเป็นบริเวณทางไหลผ่านของแม่น้ำโขงที่ไหลมาบรรจบกันท่ามกลางการเคียงใกล้กันของ 3 ประเทศ คือ ไทย เมียนมาร์ และลาว จนกลายเป็นนิยามของพื้นที่แห่งนี้ว่าสามเหลี่ยมทองคำ อันเปรียบดั่งมิตรไมตรีของ 3 ประเทศที่จะร่วมมือกันผลักดันให้การค้าและเศรษฐกิจของทั้ง 3 ประเทศเจริญรุ่งเรือง รุดหน้า ไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งแน่นอนว่าพื้นที่แห่งนี้นอกจากจะมีนัยสำคัญในเชิงเศรษฐกิจในฐานะการเป็นที่ตั้งของเมืองชายแดนแล้ว ทัศนียภาพทางธรรมชาติบริเวณริมแม่น้ำโขงของที่นี้ก็มีความงดงามไม่แพ้กัน นอกเหนือจากทัศนียภาพของริมแม่น้ำโขงตลอดจนธรรมชาติอันบริสุทธิ์ที่อยู่รายล้อมตลอดบริเวณของพื้นที่แล้ว บริเวณใกล้ ๆ กันนี้ยังมีโบราณสถานและวัดวาอารามหลายแห่งให้เดินทางเข้าไปสำรวจหรือศึกษาประวัติศาสตร์ความเป็นมาอันรุ่งโรจน์ของนครเชียงแสนในอดีต ซึ่งในวันนี้อยากพาไปเรียนรู้ที่ “วัดพระธาตุภูเข้า” ซึ่งถือเป็นวัดเล็ก ๆ แต่มีประวัติความเป็นมาที่ยาวนานและตั้งตระหง่านอยู่คู่นครเชียงแสนแห่งนี้มาหลายร้อยปี โดยบริเวณทางเข้าวัดนั้นจะสะดุดตาเป็นพิเศษกับงานปูนปั้นพญานาคที่เชิงบันไดเหมือนเชื้อเชิญให้เราเดินเท้าขึ้นไปยังบริเวณวัดที่อยู่เหนือขึ้นไปบนเชิงเขา ความร่มรื่นของแมกไม้ตลอดสองข้างทางระหว่างการเดินเท้าขึ้นไปยังบริเวณวัดนี้ชวนให้รู้สึกสดชื่นและร่มเย็นท่ามกลางแสงแดดจ้า เมื่อถึงด้านบนของบริเวณวัดจะเห็นวิวทิวทัศน์ในมุมสูง ซึ่งจะสามารถมองเห็นฝั่งของประเทศลาว และประเทศเมียนมาร์ได้อย่างชัดเจน นอกเหนือจากทิวทัศน์ที่งดงามแล้ว ภายในบริเวณวัดแห่งนี้ยังเป็นไปด้วยโบราณสถานสำคัญ และซากปรักหักพังที่บ่งบอกถึงกาลเวลาที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี จากประวัติของวัดที่มีการเขียนเพื่อบอกเล่าให้กับผู้สนใจอยากเรียนรู้ตามจุดต่าง ๆ ของบริเวณวัด จึงทำให้ทราบว่าชื่อของวัดพระธาตุภูเข้าแห่งนี้สร้างขึ้นตั้งแต่ในยุคอาณาจักรหิรัญนครเงินยาง หรือประมาณ 1,200 – 1,300 ปีล่วงมาแล้ว และเป็นวัดที่สร้างขึ้นโดยปฐมกษัตริย์แห่งหิรัญนครเงินยาง ซึ่งหิรัญนครเงินยางนี้ก็คือที่ตั้งของเมืองเชียงแสนในปัจจุบัน ถือเป็นยุคสมัยที่มีรุ่งเรืองที่สุดยุคหนึ่งในห้วงประวัติศาสตร์ของแผ่นดินล้านนา จากการศึกษาตำนานของวัดแห่งนี้พบว่าปฐมกษัตริย์แห่งหิรัญนครเงินยางหรือพระมหากษัตริย์พระองค์แรกที่สร้างวัดแห่งนี้นั้น มีพระนามว่า “พระยาลาวจังราช” ซึ่งมีอยู่วันหนึ่งพระราชโอรสของพระองค์ได้ทรงวิ่งเล่นและพบกับปูตัวหนึ่งซึ่งมีขนาดใหญ่และแตกต่างจากปูธรรมดาทั่วไป จึงทรงตามไปจับปูตัวนั้นแต่ทว่ามันหนีเข้ารูไป และไม่มีผู้ใดสามารถตามจับหรือหาได้พบอีกเลย จนกระทั่งพระราชโอรสของพระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์พระองค์ที่ 2 แห่งหิรัญนครเงินยาง พระองค์ได้เสด็จผ่านสถานที่ที่ทรงเคยวิ่งเล่นและพบกับปูตัวนั้น จึงทรงสร้างเจดีย์บนดอยที่ปูยักษ์ตัวดังกล่าวหนีเข้าไป จึงเป็นที่มาของชื่อสถานที่แห่งนี้ว่าวัดพระธาตุดอยปูเข้า และได้เรียกขานกลายเป็นวัดพระธาตุภูเข้าในยุคปัจจุบัน จึงทำให้ภายในวัดแห่งนี้เต็มไปด้วยสิ่งปลูกสร้างที่เกิดขึ้นตั้งแต่ในยุคหิรัญนครเงินยาง ที่ได้สรรค์สร้างผ่านกาลเวลามาหลายร้อยหลายพันปี และยังคงหลงเหลือให้เราคนในยุคปัจจุบันได้ชื่นชมและเรียนรู้ถึงความเป็นมาของอดีตอันรุ่งเรือง สำหรับใครที่สนใจอยากไปเรียนรู้ประวัติศาสตร์และชื่นชมกับมนดกทางสถาปัตยกรรมจากยุคหิรัญนครเงินยางนี้ สามารถไปเรียนรู้และศึกษาได้ที่วัดพระธาตุภูเข้า ซึ่งตั้งอยู่บนถนนริมแม่น้ำโขง บริเวณตรงข้ามกับประตูสามเหลี่ยมทองคำ บ้านสบรวก ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย โดยสามารถเข้าชมได้ทุกวันโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ภาพประกอบโดยผู้เขียน