ในวัยเด็กเรามักชอบแหงนมองบนท้องฟ้า และมักจะวิ่งตาม เมื่อเจ้านกเหล็กบินมุดก้อนเมฆก้อนแล้วก้อนเล่า ผ่านเหนือหมู่บ้านบ้างก็แหงนมองเฉย ๆ บ้างก็ทั้งมองทั้งชี้ นั่นเพราะว่านาน ๆ ครั้งเราจะได้เห็นเครื่องบินบินผ่านหมู่บ้านของเราสักที จนกลายเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นสำหรับเด็ก ๆ ในยุคนั้น และเกือบทุกครั้งที่เราแหงนมองจนเจ้านกเหล็กค่อย ๆ หายไปในก้อนเมฆ เคยคิดเล่น ๆ แบบเด็ก ๆ ว่า “ชีวิตนี้จะมีโอกาสสักครั้งไหมหนอ” ::ภาพประกอบโดยผู้เขียน:: นับว่าเป็นความโชคดี ของเด็ก ๆ ในยุคปัจจุบัน ยุคที่ข้าวยากหมากแพง แต่ราคาตั๋วเครื่องบินในบางช่วงถูกกว่าราคาตั๋วรถทัวร์ ผู้เขียนจึงมีโอกาสใช้บริการอยู่บ่อย ๆ การเดินทางโดยเครื่องบินครั้งนี้ จะเป็นครั้งแรกของเจ้าลูกชายของผู้เขียนตอนเขาอายุ 8 ขวบ ต้องขอบอกเลยว่าเครื่องบินเป็นสิ่งมหัศจรรย์ และเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นสำหรับเขามาโดยตลอด เพราะไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน และไม่ว่าเมื่อไหร่ที่เขาเห็นเครื่องบินบินอยู่บนฟ้าเป็นอันต้องร้องทักด้วยความตื่นเต้น พร้อมกับชี้ไม้ชี้มือและส่งเสียงเอะอะทักว่า เครื่องบิน เครื่องบิน บางครั้งก็กวักไม้กวักมือเรียกแม่เรียกใครมาดู และอีกสิ่งหนึ่งที่เขาเห็นเป็นอันต้องหยุดดู คือพวกโมเดลเครื่องบิน ของเล่นต่าง ๆ ที่เป็นเครื่องบิน ถึงแม้ว่าแม่จะไม่ได้ซื้อให้ทุกครั้ง แต่ก็ขอไปนั่งดูที่ร้านขายของเล่นก็ยังดี เรียกได้ว่าทุกอย่างที่เกี่ยวกับเครื่องบิน เขาจะต้องตื่นเต้นไปหมด บ่อยครั้งที่ต้องจอดรถให้เขา ดูเครื่องบินที่จอดอยู่หน้ากองบิน “จะเป็นคนขับเครื่องบินต้องทำยังไงแม่” คำถามนี้ถูกขึ้นตอนอายุเพียงแค่ 3 ขวบ คำตอบของแม่คือต้องเรียนให้เก่ง ๆ เมื่อดูจนพอใจแล้วเขาจะบอกเราว่า “ไปได้วันนี้พอแล้ว” แล้ววันหลังขับรถผ่านเขาก็จะบอกให้หยุดอีก จนกระทั่งย้ายลงมาอยู่ที่เกาะพีพีแห่งนี้ ด้วยความที่นี่เป็นกลางทะเล จึงไม่ค่อยมีเครื่องบินบินผ่าน เรื่องเครื่องบินจึงถูกลบเลือนไปบ้าง เปลี่ยนมาตื่นเต้นกับเรือหางยาว เรือคายักแทน เมื่อปีที่แล้วผู้เขียนจะพาเขา เดินทางไปทำธุระที่กรุงเทพฯ เมื่อตรวจสอบราคาระหว่างค่าตั๋วเครื่องบิน กับตั๋วรถทัวร์แล้วปรากฏว่าราคาพอ ๆ กัน ผู้เขียนจึงเลือกเดินทางโดยเครื่องบิน เพื่อย่นระยะเวลาการเดินทาง อีกอย่างถือโอกาสพาลูกชายลองขึ้นเครื่องบินดูสักครั้ง ::ภาพประกอบโดยผู้เขียน:: เราไปถึงก่อนเวลาหลายชั่วโมง เพราะเรือโดยสารออกจากเกาะพีพีเที่ยวสุดท้ายเวลา 15.30 น. ถึงท่าเรือกระบี่เวลา 17.30 น. เวลาในตั๋วเครื่องบินที่จองไว้ 21.30 น. เมื่อเดินทางถึงท่าอากาศยานนานาชาติกระบี่ แน่นอนว่าเขาตื่นเต้นจนออกหน้าออกตา เพราะว่าวันนี้แหละจะได้ขึ้นเจ้านกเหล็กนี่สักที เราหาที่นั่งเล่นเพื่อรอเวลา ที่สนามบินคนเยอะจนที่นั่งไม่พอ “นั่งพื้นก็ได้แม่” เด็กชายบอกกับผู้เขียนพลางเดินหาที่นั่ง เราเลือกนั่งที่พื้นของสนามบินโดยไม่แคร์สายตาของใคร จนกระทั่งได้เวลาเช็คอินเข้าข้างใน ใกล้เวลาที่รอคอยเข้าไปทุกทีแล้ว ::ภาพประกอบโดยผู้เขียน:: ความตื่นเต้นเพิ่มขึ้นอีกเมื่อเขามองผ่านกระจกของท่าอากาศยาน เห็นเจ้านกเหล็กจอดอยู่หลายลำ แต่ผิดคาดไปนิดเพราะผู้เขียนคิดว่าเขาจะตื่นเต้น และเอะอะชี้ไม้ชี้มือ เหมือนครั้งที่เห็นมันบินอยู่บนท้องฟ้า “นั่งดูตรงนี้ได้ไหมแม่” เด็กชายถามขึ้นขณะยืนอยู่หน้ากระจกบานใส เมื่อแม่บอกว่านั่งได้ เขาลงนั่งกับพื้นมองดูการทำงานของเจ้าหน้าที่ของสนามบิน ที่ทำงานอยู่เบื้องล่าง อย่างสนอกสนใจมากเป็นพิเศษ ผู้เขียนแอบสังเกตเห็นว่า เขาแทบไม่ละสายตาไปทางไหนเลย จนกระทั่งพนักงานประกาศให้ไปขึ้นเครื่อง และนี่คือการเดินทางครั้งแรกที่เขาบอกว่า “แม่ถ่ายรูปให้ลูกหน่อย” ที่จริงแม่ก็เกรงใจพนักงานเขาอยู่บ้าง แต่ก็ถ่ายให้แค่ 2 รูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก การเดินทางครั้งนี้เราไม่ได้เลือกที่นั่งกันเอง แต่รู้สึกว่าพนักงานเข้าข้างพวกเรามาก สงสัยจะเห็นว่ามีเด็กมาด้วยจึงรันที่นั่งติดหน้าต่างให้ แต่เวลานี้สามทุ่มกว่าแล้วจึงมองไม่เห็นอะไรภายนอกมากนัก ::ภาพประกอบโดยผู้เขียน:: เครื่องบินเริ่มล้อหมุนแล้ว เด็กชายไม่ปริปากพูดอะไรสักคำ ไม่รู้ว่าตื่นเต้นมากไปหรือยังไง แต่สายตาของเขาไม่ละออกจากช่องกระจกเล็ก ๆ แม่เองก็ไม่อยากกวนเพราะรู้ว่านี่คือสิ่งที่เขารอคอยมาโดยตลอด ปล่อยให้เขาเพลิดเพลินกับบรรยากาศบนนกเหล็กไปตามประสา เมื่อเครื่องบินเดินทางใกล้ถึงสนามบินดอนเมือง เครื่องมีตกหลุมอากาศเล็ก ๆ น้อยสังเกตว่าเด็กชายเกิดอาการกลัว แต่ไม่กล้าพูดอะไร ::ภาพประกอบโดยผู้เขียน:: เครื่องบินลงจอดที่ท่าอากาศยานดอนเมือง เวลา 22.40 น. ตามเวลากำหนด ขณะกำลังเดินออกจากสนามบิน เด็กชายบอกกับผู้เขียนว่า “แม่! วันหลังเราไปรถทัวร์กันก็ได้นะเครื่องบินมันปวดหู” ::ภาพประกอบโดยผู้เขียน::