การเดินทางไปต่างประเทศนอกจากจะต้องเตรียมความพร้อมในเรื่องของเอกสารการเดินทาง ข้าวของสัมภาระ รวมไปถึงแพลนเที่ยวหรือการทำกิจกรรมต่างๆ ให้เรียบร้อยแล้ว สิ่งหนึ่งที่สำคัญมากๆ เลยก็คือ การผ่านด่าน ตม. ของประเทศที่เราจะไปนั่นเองค่ะ สำหรับคนที่เดินทางเป็นประจำอยู่แล้วคงไม่มีปัญหาใช่ไหมคะ แต่สำหรับมือใหม่หรือคนที่กำลังจะเดินทางเป็นครั้งแรกก็คงจะมีความกังวลเล็กๆ ในเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะคนที่ไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษอย่างดิฉันค่ะ มันกังวลไปหมดว่าจะตอบคำถามได้ไหม จะฟังรู้เรื่องหรือเปล่า วันนี้ดิฉันผู้ซึ่งผ่านประสบการณ์ตรงนั้นมาแล้ว ผ่านแบบผ่านฉลุย แบบ ฮะ! ผ่านแล้วเหรอ?? ได้รวบรวม คำถามที่ ตม. ชอบถาม พร้อมตอบยังไงให้ผ่าน!!! มาให้แล้วค่าาา เตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อม ตั้งสติ สูดหายใจเข้า แล้วไปลุยกันเล้ยยยย คำถามที่ ตม. ชอบถาม โดยส่วนมากแล้วทางเจ้าหน้าที่ ตม. ก็จะถามคำถามสั้นๆ ค่ะและที่เจอมาก็จะอยู่ที่หนึ่งถึงสองคำถาม เพราะทางเจ้าหน้าที่ ตม. ก็จะดูข้อมูลจากในเอกสารที่เรายื่นให้อยู่แล้ว ซึ่งเอกสารที่ต้องเตรียมไป และสำคัญมากๆ ควรเก็บไว้ในกระเป๋าที่สามารถหยิบได้สะดวก นั่นก็คือ1.) พาสปอร์ต (Passport) พร้อมวีซ่า ของประเทศที่จะไป (ในกรณีที่ต้องมีวีซ่านะคะ)2.) ตั๋วเครื่องบิน ทั้งขาไปและขากลับ3.) หลักฐานการจองโรงแรมที่พัก (เตรียมไว้เผื่อเจ้าหน้าที่ ตม.ขอดูค่ะ)4.) แผนการท่องเที่ยว (เตรียมไว้เผื่อเจ้าหน้าที่ ตม. ขอดูเช่นกันค่ะ เพราะเราพูดภาษาอังกฤษไม่เก่งกลัวอธิบายไม่ถูก ถ้าเกิดโดนถามก็จะได้ยื่นให้ดูเลยค่ะ)5.) เอกสารอื่นๆ ที่คิดว่าจำเป็น เตรียมไว้ดีกว่าไม่ได้เตรียมนะคะ อย่างเช่นบัตรพนักงานดิฉันก็เตรียมไปด้วย กันไว้เผื่อโดนถามว่าทำงานอะไรจะได้ยื่นให้ดู ฮ่าาาา จริงๆ เตรียมไว้เผื่อติดขัดตรงไหนค่ะ แต่ถ้าไม่มีอะไรที่ผิดปกติก็ไม่ได้ใช้ ตอบคำถามเสร็จก็ผ่านเลย6.) ใบขอเข้าเมือง ที่กรอกรายละเอียดเสร็จเรียบร้อย อันนี้ตอนดิฉันเดินทางไปญี่ปุ่นทางลูกเรือจะแจกให้เขียนตั้งแต่ตอนอยู่บนเครื่องบินค่ะ กรอกให้ละเอียดครบถ้วนนะคะข้อแนะนำคือ ตั้งสติและทำตัวสบายๆ ค่ะ พยายามสังเกตคนข้างหน้าที่เข้าไปถึงเจ้าหน้าที่ก่อนเราค่ะว่าเขาให้ทำอะไรบ้าง แล้วก็หยิบเอกสารมาเตรียมไว้เลยค่ะ พยายามตั้งใจฟังคำถามบางทีอาจจะด้วยสำเนียงที่แตกต่างออกไปทำให้ฟังยากสำหรับเรา แต่พยายามจับคีย์เวิร์ดให้ได้ค่ะ เจ้าหน้าที่ ตม. จะใช้คำถามสั้นๆ ที่เข้าใจง่าย ดิฉันเชื่อว่าถ้าเราเตรียมตัวไปยังไงก็รอดค่ะ ไปค่ะทุกคน ตม. ไม่ได้น่ากลัวขนาดน้านนน ไปดู คำถามที่ ตม. ชอบถามพร้อมตอบยังไงให้ผ่าน กันเลยค่าาา 1.) Passport, please. หรือ Passport and arrival card, please.คือ พี่ ตม. ขอดูพาสปอร์ตค่าาา พาสปอร์ตและเอกสารขอเข้าเมือง ก็ยื่นให้ไปโลด จะยื่นให้เฉยๆ หรือพูดคำว่า Here you are. ที่แปลว่า นี่ค่ะ สวยๆ ก็ได้ค่าาา 2.) What’s the purpose of your visit?: คุณมาทำอะไรที่นี่จากประสบการณ์จริง ดิฉันเจอคำถามนี้ค่าาา เราก็ตอบสั้นๆ ไปเลยตามจุดประสงค์ที่เรามาค่ะ เช่น มาเที่ยว ก็ตอบว่า Travel มาหาเพื่อน ก็ตอบว่า Visit my friend มาเรียนต่อ ก็ตอบว่า Study หรือถ้าเราจะไปทำอะไรก็เตรียมคำตอบไว้ด้วยนะคะ 3.) Are you travelling alone? or with Someone?: คุณมาคนเดียวหรือมากับใครและอีกหนึ่งคำถามที่ดิฉันเจอ ตม. ถามก็คือคำถามนี้เลยค่ะ ถ้าเราไปคนเดียวก็ตอบว่า alone ถ้ามากับเพื่อนก็ตอบ With my friend แล้วชี้ให้เจ้าหน้าที่ดูเลยค่ะว่าเพื่อนเราที่มาด้วยคนไหน ตอนที่ไปญี่ปุ่นดิฉันก็ชี้ให้ดูแล้วก็ผ่านค่าาา 4.) How long will you be staying? หรือ How many day are you planing to be here?: คุณจะอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่ หรือ คุณจะอยู่ที่นี่กี่วันคีย์เวิร์ดคือ How long ที่แปลว่านานเท่าไหร่ หรือ How many day ที่แปลว่ากี่วัน ก็ตอบเป็นจำนวนวันสั้นๆ ง่ายๆ ไปเลยจ้า เช่น 7 day ถ้าพี่ ตม. สุดหล่อขอดูตั๋วเดินทางกลับเพื่อยืนยันเขาอาจจะพูดว่า Show me your return ticket, please. เราก็ยื่นตั๋วขากลับให้เขาดูค่ะ 5.) Where are you staying? หรือ Where will you be staying?: คุณพักที่ไหนก็ตอบชื่อโรงแรมไปเลยค่ะ พร้อมเตรียมเอกสารการจองที่พักไว้ด้วยนะคะ เผื่อพี่ ตม. คนเข้มขอดูค่า 6.) Where will you be visiting?: คุณจะไปที่ไหน เมืองไหนตอบชื่อเมืองหรือสถานที่ท่องเที่ยวสักที่สองที่เราจะไปค่ะ ถ้าพี่ ตม. อยากจะรู้รายละเอียดก็ยื่นแพลนท่องเที่ยวที่เราเตรียมมาให้ดูเลยค่า พูดไม่เก่งแต่เตรียมข้อมูลมาเป๊ะเวอร์นะคะ พี่ ตม. ขาาาาา 7.) Is this your first time here?: คุณมาที่นี่เป็นครั้งแรกหรือเปล่าก็ตอบสั้นๆ ง่ายๆ ว่า First time ที่แปลว่าครั้งแรก หรือ Second time แปลว่าครั้งที่สอง ค่ะ ถ้ามากกว่านั้นก็ตอบไปตามจริงเลยค่ะ 8.) What do you do? หรือ What Is Your Occupation?: คุณทำอาชีพอะไรตอบชื่ออาชีพไปตามความจริงเลยค่ะ คำถามนี้อาจจะถูกถามเพื่อความมั่นใจว่าเราจะไม่แอบลักลอบเข้าไปทำงานที่บ้านเมืองเขา ฮ่าาา เพื่อความชัวร์ของพี่ ตม. ค่ะว่าเรามีงานมีการทำที่บ้านเราแน่ๆ นะ อันนี้รุ่นพี่ที่ทำงานซึ่งเคยไปเกาหลีแนะนำมาค่ะว่าอาจจะโดนถาม ให้เราเตรียมหลักฐานการทำงานเช่น บัตรพนักงาน ไปด้วย 9.) คำถามอื่นๆ ที่อาจจะเกี่ยวโยงกับคำตอบก่อนหน้าของเราค่ะเช่น ถ้าเขาถามว่า What’s the purpose of your visit? : คุณมาทำอะไรที่นี่ แล้วเราตอบว่า Study มาเรียนต่อ ตม. ก็อาจจะมีคำถามเกี่ยวกับการเรียน เช่น เรียนอะไร เรียนที่ไหน เราก็เตรียมเอกสารเกี่ยวกับการเรียนไปด้วยเผื่อพี่ ตม. ขอดูค่ะ หรือถ้าเราตอบว่า Business มาทำงาน พี่ ตม. ก็อาจจะถามต่อว่า ทำงานอะไร ที่ไหน เราก็ต้องเตรียมคำตอบและเตรียมเอกสารเกี่ยวกับการทำงานไปเพื่อยื่นให้เจ้าหน้าที่ ตม. ดูค่ะ รวมถึง ตรวจสอบวีซ่าที่เราขอไปให้ดีด้วยนะคะว่าเป็นประเภทที่สามารถเรียนหรือทำงานที่ประเทศนั้นๆ ได้หรือเปล่าค่ะ และนี่ก็เป็นแค่แนวทาง คำถามที่ ตม. ชอบถามพร้อมตอบยังไงให้ผ่าน เท่านั้นนะคะ ในสถานการณ์จริงคำถามอาจจะแตกต่างออกไปจากนี้แล้วแต่กรณีค่ะ หรือถ้าโชคดีเจ้าหน้าที่ ตม. ก็อาจจะแค่ตรวจเอกสารการเดินทางแล้วไม่ถามอะไรเลยก็ได้ค่ะเมื่อการตอบคำถามและการตรวจเอกสารเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทาง ตม. ก็จะให้เรามองกล้องที่ติดอยู่บริเวณด่านตรวจเพื่อถ่ายรูปหนึ่งแชะ (ถอดแว่นกันแดดออกด้วยนะคะ) จากนั้นพี่ ตม. สุดหล่อก็จะแสตมป์พาสปอร์ตให้เราพร้อมยื่นกลับมาให้ เป็นอันเสร็จเรียบร้อย เย่!! รับมาด้วยรอยยิ้มสยามแล้วเดินสวยๆ สับๆ ผ่านด่านไปได้เลยจ้าาาาไม่ยากเลยใช่ไหมคะ ขอแค่เรามีความพร้อม เตรียมตัวให้ดี เตรียมเอกสารให้ครบ มีความมั่นใจ ตั้งใจฟังคำถามแล้วตอบไปตามความเป็นจริง เท่านี้ก็สามารถผ่านด่าน ตม. ได้แบบสวยๆ แล้วค่าาาาขอให้มีความสุขกับการเดินทางนะคะ... ภาพหน้าปก จาก Canva : towfiqu ภาพประกอบที่ 1-3 โดยครีเอเตอร์ภาพประกอบที่ 4 Photo by Global Residence Index on Unsplash ส่องที่เที่ยว พิกัดลับห้ามพลาด มุมถ่ายรูปสวยที่ทรูไอดีคอมมูนิตี้