เมืองไทยเป็นเมืองที่มีเทศกาลงานฉลองเยอะมากนับตั้งแต่ต้นปีจนไปถึงท้ายปี ทั้ง ไทย จีน แขก ฝรั่ง ก็ล้วนแต่เป็นเทศกาลสำคัญทั้งสิ้น ถามว่าชอบมั้ยแน่นอน ถ้ามีเทศกาลก็ต้องตามมาด้วยวันหยุด ใครละที่ไม่ชอบวันหยุด ทำงานทุกวันก็ต้องอยากมีวันหยุดพักกัน มันก็เรื่องธรรมดา ที่สำคัญวันหยุดตามเทศกาลต่าง ๆ มักจะเป็นวันหยุดที่ต่อเนื่องกัน สำหรับผู้เขียนเองแล้วโดยส่วนตัวมักจะหาวันหยุดเพื่อไปพักผ่อนตามสถานที่ต่าง ๆ ทะเลบ้าง น้ำตกบ้าง วัดนี่ไปบ่อยมาก ฉะนั้นไม่ว่าเทศกาลไหนที่เป็นวันหยุด ผู้เขียนเองก็จะมีการวางแผนไว้แล้วว่าจะไปที่ไหนดี ที่ไหนสวย และที่สำคัญที่ไหนถูก ก็นั่นแหละเวลาเที่ยวก็อยากเที่ยวให้เต็มที่ ยิ่งถ้าเป็นที่ ๆ ราคาไม่แพงจนเกินไปเราก็สามารถเที่ยวได้อย่าง ไม่ต้องกังวลเรื่องรายจ่าย ช่วงปีใหม่ หลายคนที่ทำงานอยู่ต่างบ้านต่างถิ่น ก็มักจะถือโอกาสนี้กลับไปบ้าน หาพ่อแม่ หรือญาติพี่น้องที่ไม่ค่อยได้เจอหน้ากัน ด้วยภาระที่ต้องรับผิดชอบในด้านต่าง ๆ ก็เป็นเวลาที่เหมาะสมที่จะได้กลับมาพบปะพูดคุยกัน สำหรับผู้เขียนเองนั้น ปกติงานประจำคือการสอนนักเรียน ก็จะต่างจากงานทั่ว ๆ ไปที่มีวันหยุดตามเทศกาล และมีเพิ่มเติมนอกเหนือจากนั้นคือวันหยุดปิดภาคเรียนปีการศึกษา หรือ ที่เรียกกันว่า ปิดเทอมนั่นเอง และนั่นทำให้สามารถเลือกปฏิทินการเที่ยวได้ง่ายกว่าถูกกว่า ที่จะไปตามฤดูไฮซีซั่นที่ แน่นอนรายจ่ายไม่ใช่น้อย ๆ เหมือนเช่นวันธรรมดา ในขณะที่คนส่วนใหญ่กลับบ้านเพื่ออยู่กับครอบครัว ผู้เขียนเองเลือกใช้โอกาสนี้ไป กาญจนบุรี โดยได้หาข้อมูลก่อนไปแล้ว และแน่นอนในเทศกาลแบบนี้เราได้เที่ยวได้ที่พักในราคาที่ถูกและไม่ต้องแย่งกับใคร เมื่อถึงวันสิ้นปีที่เขาหยุดเทศกาลกัน ก็ได้เวลาที่เราจะออกไปซึ่งได้จองห้องพักไว้แล้วที่สำคัญ สามารถพาน้องหมาเข้าไปได้อีกด้วย หลุบพยา คือที่แรกที่เราต้องไป โดยระยะทางจากกรุงเทพไปกาญนั้นก็ไม่ไกลเท่าไร ผู้เขียนเองไปรถส่วนตัวก็เลยสามารถเลือกเวลาที่จะออกไปได้ ประมาณ ตี 5 เช้าวันที่ 31 ธันวาคมก็มุ่งหน้าสู่กาญจนบุรี ดูเส้นทางตามป้ายเอาเพราะมันวิ่งเส้นหลัก ๆ ไม่ซับซ้อน ขับไปเรื่อย ๆ แวะพักบ้าง แวะหาอะไรกินกันบ้าง แบบไม่รีบเพราะมีห้องที่จองไว้อยู่แล้ว ถือว่าชมวิวดื่มด่ำกับธรรมชาติสองข้างทางไปด้วย ขับมาได้ประมาณ 5-6 ชั่วโมงก็ถึงที่พักชื่อว่า หลุบพญารีสอร์ท ห้องสวยมาก เฟอร์นิเจอร์ครบ ทั้งตู้เย็น ทีวี และอื่น ๆ อีกครบครันที่รีสอร์ทดี ๆ พึงจะมี เมื่อถึงห้อง เตียงนุ่ม ๆ แอร์ เย็น ๆ ก็ไม่เป็นอันอยากออกไปไหน บวกกับขับรถมาไกลก็พักเอาแรงก่อนแล้วเรื่องเที่ยวค่อยว่ากัน ห้องที่จองไว้นี้มีระเบียงยื่นออกไปทางแม่น้ำเห็นวิวได้กว้างมาก สามารถเอาเตามานั่งย่างปลาย่างเนื้อได้ด้วยนะ หลังจากพักผ่อนจนหายเหนื่อยจากการเดินทางก็ได้เวลาเที่ยวสถานที่สำคัญ ๆ ที่มีชื่อเสียงตามที่ได้รู้มาก็คือ พิพิธภัณฑ์รถไฟ ซึ่งบอกเลยอันนี้หลงมาไม่ได้รู้เส้นทางมาก่อนเลยเนื่องจากมาแล้วก็อยากดูทั่ว ๆ ว่าที่นี่มีอะไรน่าสนใจบ้าง เพราะมีเวลาแค่ 1 วันที่จะอยู่ที่นี่ ก็ขับรถวนดูรอบ ๆ ก็สมคำร่ำลือสวยงามตามท้องรางรถไฟ ได้บรรยากาศรถไฟในสมัยสงครามโลก นักท่องเที่ยวก็ยืนถ่ายรูปกันมากมายเห็นว่าวันหนึ่งจะมีวิ่งผ่านมาให้ถ่ายรูปแค่ 2 ครั้งเท่านั้น เพราะไม่ได้เป็นขบวนหลักที่ใช้วิ่งเป็นประจำทุกวัน แต่ในส่วนด้านในของพิพิธภัณฑ์รถไฟนั้น ไม่อนุญาตให้นำสัตว์เลี้ยงเข้าไปได้ ก็เลยได้แต่เดินชมบริเวณด้านนอก ซึ่งก็มีซากรถไฟเก่า หัวจักรที่เคยใช้ในสมัยสงครามโลก ปืนใหญ่ และอีกหลายอย่าง ถัดไปไฮไลท์ของงานนับว่าเป็นแลนด์มาร์คที่สำคัญสำหรับนักท่องเที่ยวที่มาก็เพื่อสิ่งนี้ สะพานข้ามแม่น้ำแคว เป็นสะพานที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานที่ใครหลายคนก็อาจจะเคยได้ยินกันมาบ้าง เอาประวัติสั้น ๆ มาฝากเผื่อใครยังไม่เคยได้ยินได้รู้จักสะพานข้ามแม่น้ำแคว เป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญยิ่งแห่งหนึ่ง สร้างขึ้นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยกองทัพญี่ปุ่น ซึ่งเกณฑ์เชลยศึกประมาณ 61,700 คน โดยมี ทหารอังกฤษ อเมริกัน ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และ กรรมกรชาว จีน ญวณ ชวา มลายู ไทย พม่า และ อินเดีย อีกจำนวนมาก มาก่อสร้างทางรถไฟสายยุทธศาสตร์ เพื่อเป็นเส้นทางผ่านไปสู่ประเทศพม่า แต่หากจะไปถึงพม่าได้ต้องข้ามแม่น้ำแควใหญ่ จึงได้มีการสร้างสะพานนี้ขึ้นมาด้วย ความยากลำบาก ความทารุณของสงครามและโรคภัย ตลอดจนการขาดแคลนอาหาร ทำให้เชลยศึกหลายหมื่นคนต้องเสียชีวิตลง จึงเป็นสะพานหน้าประวัติศาสตร์ที่สำคัญโดยใช้เวลาในการสร้างเพียง 1 เดือนเท่านั้น เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2487 ได้สะพานนี้ถูกทิ้งระเบิดหลายครั้งจนสะพานหักท่อนกลาง ภายหลังสงครามสิ้นสุดลง รัฐบาลไทยได้ซ่อมแซมใหม่ด้วยเหล็กรูปเหลี่ยม เมื่อปี พ.ศ. 2489 จนสามารถใช้งานได้ ปัจจุบัน มีการยกย่องให้เป็น สัญลักษณ์แห่งสันติภาพ ผมใช้เวลาในการเดินชมและขับรถไปรอบ ๆ เมือง ก็กินเวลาไปเกือบ 3 ชั่วโมงถึงได้ออกมาจากเขตนนั้น และได้ไปอีกที่ ๆ คนนิยมไปเที่ยวกันเพื่อดื่มด่ำกับเสียงน้ำตกและเสียงหมู่นกในป่าใหญ่ น้ำตกเอราวัณ ก็แวะไปได้ไม่นานนักเพราะเป็นเขตอุทยานห้ามนำสัตว์เลี้ยงเข้า ก็รีบขึ้นไปที่น้ำตกและเดินชมธรรมชาติสักพักก็กลับ พอกลับถึงที่พักก็มีการจัดงานเคาท์ดาวน์ปีใหม่ แต่ก็ไม่ได้ลงไปร่วมแม้จะมีบัตรรับประทานอาหารให้ ด้วยความเหนื่อยมาทั้งวันก็เลยกลับห้องไปนอน เพื่อที่เช้าวันขึ้นปีใหม่จะได้เดินทางกลับ ซึงบอกได้เลยว่าทริปนี้คุ้มกว่าที่คิดไว้นอกจากที่ ๆ มีชื่อเสียงแล้ว ระหว่างการเดินทางไปในแต่ละที่นั้น มีเมืองเก่าและวัดเก่าอยุ่มาก และสวยงาม ทำให้ได้แวะไหว้พระทำบุญไปในตัวเรียกได้ว่าอิ่มทั้งใจอิ่มทั้งกายเป็นการส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่มีความสุขมากเลยทีเดียว สวัสดี ภาพโดย : จุง ชาวไร่