เที่ยวญี่ปุ่น 6 เมืองใน 7 วัน ในงบ 3 หมื่นด้วยตัวเองนั้นง่ายกว่าที่คิด หลายคนอาจมองว่า การไปเที่ยวญี่ปุ่นในหลายๆเมืองพร้อมกันมีความยุ่งยากมาก หรือไม่ก็ค่าใช้จ่ายในการไปเที่ยวหลายเมืองนั้นค่อนข้างแพงมาก หรือเป็นไปไม่ได้เลย หากเป็นไปได้ก็เป็นแบบเร่งรีบทัวร์ วันนี้จะมาขอแชร์เส้นทางการเดินทางในแต่ละวันในการท่องเที่ยวหลายๆเมือง แบบไม่ต้องรีบร้อนทัวร์ ให้สัมผัสกับธรรมชาติแบบชิลๆเลยค่ะ โดยใช้บัตร JR kansai wild pass และบัตร Osaka Amazing Pass เท่านั้นค่ะ วันแรก วันแรกของการเดินทางนั้น เป็นวันแรกที่ได้ถึงญี่ปุ่นเป็นวันแรก โดยได้ลงสนามบินนานาชาติคันไซ (โอซาก้า) เราเลือกนั่งรถไฟเพื่อไปยังสถานีโอซาก้า แล้วเตรียมฝากกระเป๋าการเดินทางค่ะ โดยวันแรกเราก็เริ่มใช้บัตร JR kansai wild pass ก่อน เนื่องจากที่พักยังไม่สามารถเข้าพักได้ แล้วหาซื้อตั๋วที่ Hankyu Tourist information บริเวณใกล้สถานี OSAKA ค่ะ เนื่องจากราคาถูกกว่าเมื่อซื้อข้างบนเพียง 1,200 เยนเท่านั้น จากนั้นเดินทางด้วย JR Tokaido-Sanyo Line จากสถานี Osaka Staion มาลงสถานี Rokkomichi Station แล้วนั่งรถบัสหมายเลข 16 ค่ะ เพื่อไปยังจุดขึ้นเคเบิ้ลคาร์ที่ Rokko Cable Shita Station เมื่อเราถึงเคเบิ้ลคาร์แล้ว ก็ขึ้นเคเบิ้ลค่ะเพื่อไปเที่ยวยังภูเขาร็อคโกะ ซึ่งข้างบนนั้นจะมีรถบัสสีเขียวและสีแดงจอดรออยู่ค่ะ สามารถดูเวลารถบัสได้ที่ป้ายบอกทาง ขอบอกว่าถ้าขึ้นมาภูเขาร็อคโกะแล้วนะคะควรมีเวลาอย่างน้อยครึ่งวัน หรือเกือบวันค่ะ เพราะสถานที่ท่องเที่ยวเยอะเหมือนกัน โดยสถานที่ท่องเที่ยวในภูเขาร็อคโกะ ก็จะมี พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี (Rokko International Musical Box Museum) เป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงกล่องดนตรีขนาดใหญ่ที่เก่าแก่และหายากมากตั้งแต่อเมริกาและยุโรป Rokko Garden Terrace บริเวณตรงนี้สามารถมองเห็นวิวได้แบบ 360 องศาเลยค่ะ และยิ่งใกล้พระอาทิตย์ตกดินยิ่งมีความสวยงามเป็นพิเศษ นับว่าเป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดค่ะ ใกล้ๆกันก็จะมี Rokko Shidare Observation Platfrom เป็นโครงสร้างเหล็กรูปหกเหลี่ยมซ้อนกันมีความเก่ไก๋ สามารถไปถ่ายรูปสวยๆได้ค่ะ หลังจากนั้นเราก็เดินทางไปยัง โกเบ ฮาร์เบอร์แลนด์ (Kobe Harborland) ซึ่งลงจากภูเขาร็อคโกะ โดยเดินทางไปยังสถานี Kobe Station บริเวณนี้จะมีชิ่งช้าสวรรค์อยู่ใกล้กับตลาดอาหารมากมาย และถือว่าเป็นจุดชมวิวอีกจุดที่สามารถมองเห็นเมืองโกเบได้ค่ะ โดยสามารถเห็น โกเบ พอร์ต ทาวเวอร์ (Kobe Port Tower) ได้อีกด้วย ถือว่าเป็นจุดที่ชิลมากๆ หากสามารถดูการเดินทางเที่ยวเมืองโกเบฉบับเต็มได้ที่นี่ วันที่สองและสาม วันนี้เราเดินทางจากโอซาก้าเพื่อไปเที่ยวเมืองโตเกียวค่ะ โดยนั่งรถไฟ Thunderbird ใช้เวลาเพียง 30 นาทีเท่านั้น จอดเพียงแค่ 2 สถานีค่ะ รวดเร็วทันใจดี เมื่อถึงสถานี Kyoto station แล้ว ก็แวะซื้อตั๋วโตเกียวแบบนั่งรถบัสไม่จำกัดกันก่อน แล้วเราก็ตรงไปเที่ยวกันเลย สถานที่ท่องเที่ยวเกียวโตมีมากมายมากค่ะ โดยเราเริ่มต้นที่ Arashiyama Bomboo Forest ซึ่งเป็นป่าไผ่ญี่ปุ่นเต็มไปหมดเลย ป่าไผ่แห่งนี้ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวที่ชอบแวะมาถ่ายรูปมากค่ะ ซึ่งควรมาถ่ายรูปตอนเช้านะคะจะดีกว่า เดินไปตามป่าไผ่ก็จะไปเจอ วัดเท็นริวจิ (Tenryu-Ji Temple) เป็นวัด 1 ใน 5 ที่สำคัญที่สุดของนิกายเซน และเป็นวัดที่มีประวัติศาสตร์และความสวยงามที่ยังคงอยู่ จะได้รับขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปีค.ศ. 1994 จากนั้นเราเดินต่อไปอีกไม่กี่นาทีก็ถึง สะพานโทเง็ตสึเคียว (Togetsukyo Bridge) แวะถ่ายรูปบริเวณนี้สักหน่อย บริเวณใกล้สะพานจะมีร้านอาหาร ร้านค้ามากมายค่ะ ซึ่งสามารถแวะพักกินข้าวได้เลย ค่อยเดินทางไปต่อยังที่ วัดคินคะคุจิ (Kinkakuji Temple) ซึ่งเป็นวัดสีทองที่สวยงามมาก และได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก้ด้วย ก่อนที่เราจะไปยังสถานที่สุดท้ายนั่นคือ ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ (Fushimi Inari Taisha) โดยสถานที่แห่งนี้นักท่องเที่ยวชอบนิยมมาถ่ายรูปเสาประตูสีแดง (ประตูโทริอิ : Toriii Gata) และยังมีจุดชมวิวตรงทางแยกโยซีซีจิ (Yotsutsuji Intersection) ซึ่งสามารถมองเห็นเมืองเกียวโตได้อย่างสวยงาม และวันที่สามเราก็ยังเดินทางไปเที่ยวโตเกียวอีกค่ะ โดยเราเลือกไปนั่งรถไฟสายโรแมนติก Sagano ได้ค่ะ ทางรถไฟสายโรแมนติกนี้ถูกสร้างขึ้นในปี 1991 โดยออกแบบให้เป็นรถไฟสไตล์คลาสสิค ซึ่งรถไฟจะวิ่งผ่านเส้นทางตามแม่น้ำ Hozugawa จากสถานี Saga Torokko ไปยังสถานี Kameoka Torokko โดยมีระยะเวลารวมกว่า 7 กิโลเมตร ซึ่งใช้เวลาเพียง 25 นาทีเท่านั้น จากนั้นก็เก็บตกเที่ยวเกียวโตแบบชิลๆกันไปเล้ย หากสามารถดูการเดินทางเที่ยวเมืองเกียวโตฉบับเต็มได้ที่นี่ วันที่ 4 วันนี้เราได้เลือกเดินทางไปเที่ยวยังเมืองนาระค่ะ ซึ่งนั่งรถไฟไปลงสถานี Nara Station โดยใช้เวลา 45 นาที แต่หากนั่งจากโอซาก้า สำหรับการเที่ยวเมืองนาระนั้นเป็นแนวเน้นเดินมากกว่า โดยจะเดินเป็นวนกลมนะคะ ซึ่งสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองนาระ ก็จะมี วัดโคฟุคุจิ (Kofukuji) เป็นวัดพุทธที่มีความเก่าแก่กว่า 1,300 ปี และวัดแห่งนี้ยังได้รับการจดทะเบียนด้านวัฒนธรรมที่มีชื่อว่า “อนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์นาราโบราณ” ให้เป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโกด้วย เดินต่อไปผ่าน สวนนารา (Nara park) เพลิดเพลินกว่ากวางธรรมชาติมากมายกว่าพันตัว กวางในเมืองนาระจะคุ้นเคยกับคนมาก และน่ารักมากค่ะ กวางเยอะขนาดนี้ จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ประจำเมืองนาราเลยค่ะ วัดโทไดจิ (Todai-ji Temple) เป็นวัดพุทธที่เก่าแก่และสำคัญในญี่ปุ่น โดยมีวิหารไม้หลังใหญ่ ไดบุตสึเคน เป็นที่ประดิษฐานขององค์หลวงพ่อโต (ไดบุตสึ) ที่สร้างจากไม้ นับว่าเป็นอาคารไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ศาลเจ้าคาสุกะ(Kasuga-taisha) ศาลเจ้าแห่งนี้จะประดับประดาด้วยตะเกียงมากมาย เป็นศาลเจ้าที่โด่งดังมากในเมืองนาระเลยค่ะ และหากยังไม่เหนื่อยกันก็แวะไปนั่งชิลชมความงามธรรมชาติแถว Ukimido กันนะคะ หากสามารถดูการเดินทางเที่ยวเมืองนาระฉบับเต็มได้ที่นี่ วันที่ห้า วันนี้วันสุดท้ายของการใช้บัตร JR kansai wild pass หากต้องเอาให้คุ้มและต้องการไปชมกลิ่นอายธรรมชาติ และสงบด้วยต้องที่นี้ค่ะ ที่ทตโตริ (Tottori) โดยนั่งรถไฟด่วนพิเศษ JR Super Hakuto ไปยังสถานี Tottori Station ใช้เวลาทั้งหมด 2.30 ชม. ซึ่งเมื่อถึงเมืองโทโตริแล้วนะคะ นับว่าเป็นเมืองที่เงียบและบริสุทธิ์มากๆ ป้ายบอกทางต่างๆจะเป็นภาษาญี่ปุ่นนะคะ ยังไม่เป็นภาษาอังกฤษ โดยเมืองทตโตรินี้จะมีความพิเศษขึ้นชื่อจาก เนินทรายทตโทริ (Tottori Sand Dunes) เป็นเนินทรายที่ขนาดใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ใกล้ๆกันจะมี พิพิธภัณฑ์ทราย (Tottori Sand Dune Art Museum) ซึ่งพิพิธภัณฑ์แห่งนี้จะมีงานประติมากรรมที่สร้างมาจากทรายเท่านั้นค่ะ และหากใครต้องการไปชมทะเลก็จสามารถไป ชายฝั่งอุระโดเมะ(Uradome Coast) และชายฝั่งชิราวาระ (Shirawara Coast) ได้ค่ะ หากสามารถดูการเดินทางเที่ยวเมืองทตโตริฉบับเต็มได้ที่นี่ วันที่หก วันนี้เราจะเดินทางด้วยรถยนต์ จะไม่ใช้บัตรใดๆทั้งสิ้นค่ะ เพื่อไปเที่ยววะกะยะม่า (wakayama) กัน สถานที่เที่ยววะกะยาม่าจะมีที่ไหนบ้าง โดยสามารถเริ่มต้น ล่องเรือโดะโระเคียว (Dorokyo Water Jet) เพื่อที่จะชมธรรมชาติสวยๆ และต่อด้วย Ooyunohara (โอยุโนะฮาระ) เป็นเสาโทริอิยิ่งใหญ่ด้วยความสูงประมาณ 34 เมตร หนักกว่า 172 ตัน น้ำตกนะชิ (Nachi Falls) มีความสูง 133 เมตรที่ตกมาจากดึกดำบรรพ์ น้ำตกที่ไหลมาได้รับการขนามนามว่า “น้ำศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นยาอายุวัฒนะ” มีจุดไฮไลท์ตรงเจดีย์สามชั้นแดงที่ตัดกับน้ำตกนะชิ หากใครมีเวลาเพียงพอก็ไปต่อกันที่ Shirasaki Ocean Park ซึ่งเป็นเกาะหินปูน เรียงตัวทับซ้อนกันไปตามแนวฝั่ง จึงเป็นชายฝั่งพิเศษแห่งหนึ่งในญี่ปุ่นเลยค่ะ หากสามารถดูการเดินทางเที่ยวเมืองวะกะยะม่าฉบับเต็มได้ที่นี่ วันสุดท้ายของการเที่ยวญี่ปุ่น มาลงโอซาก้าทั้งทีก็เที่ยวโอซาก้ากันค่ะ จริงๆช่วงเวลา 6 วันแรกสามารถแวะเที่ยวโอซาก้าได้ช่วงเย็นๆและดึกๆ เพราะโอซาก้ามีที่เที่ยวยามดึกมากมาย สำหรับวันนี้ก็แวะเที่ยวโอซาก้าและเก็บตก ซื้อของฝากกันซะหน่อยค่ะ โดยใช้บัตร Osaka Amazing Pass โดยเริ่มต้นไปที่ปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle) ซึ่งปราสาทแห่งนี้เป็นปราสาทที่มีความสวยงาม และนักท่องเที่ยวนิยมมาเที่ยวมากมาย หากใครมาโอซาก้าแล้วก็พลาดไม่ได้ที่จะมาเยือนสถานที่แห่งนี้ โดยเฉพาะในช่วงซากุระหรือดอกเมเปิ้ลเบ่งบาน สถานที่แห่งนี้ยิ่งมีมนต์เสน่ห์มากค่ะ ภายในจะมีหอคอยชมวิวแปดชั้นสามารถมองเห็นวิวเมืองโอซาก้าทั้งเมืองได้เลย วัดชิเทนโนจิ (shit-tennoji Temple) เป็นวัดพุทธที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่นกว่า 1,400 ปี อยู่ในย่านเทนโนจิ โอซาก้าค่ะ สวนสัตว์เทนโนจิ (Tennoji Zoo) เป็นสวนสัตว์เก่าแก่อันดับที่ 3 ของญี่ปุ่น เปิดเมื่อปี 1915 เป็นที่อยู่ของสัตว์มากมายกว่า 230 ประเภท รวมกว่า 900 ตัว ตลาด Shinsekai แวะกินข้าวที่ตลาด Shinsekai ก่อนที่จะไปชมวิวบนหอคอยซึเคนคาคุ (Tsutenkaku Tower) ซึ่งเป็นหอคอยที่มีต้นฉบับมาจากหอไอเฟล (Eiffel Tower) ในเมืองปารีส (Paris) แล้วต่อด้วยนั่งชิงช้าสวรรค์สุดโรแมนติกที่ Tempozan Ferris Wheel ซึ่งมองเห็นวิวแบบ 360 องศาได้สวยงามมากโดยเฉพาะในช่วงเวลากลางคืนค่ะ และห้ามพลาดสถานที่สุดท้ายนั่นคือ ชินไซบาชิ (Shinsaibashi) และโดทงโบริ (Dotonbori) ซึ่งเป็นแหล่งศูนย์ช้อปปิ้ง และอาหารของกินมากมาย ใครมาโอซาก้าแล้วไม่มาถือว่าไม่ถึงนะคะ หากสามารถดูการเดินทางเที่ยวเมืองโอซาก้าฉบับเต็มได้ที่นี่ เครดิตรูปภาพ : ภาพหน้าปก โดยนักเขียน, ภาพประกอบที่ 2-20 โดยนักเขียน