จากนโยบายลดหย่อนภาษี 2567 โดยชูโรงไปที่การ "เที่ยวเมืองรอง" ซึ่งสามารถนำไปหักรายจ่ายได้เพิ่มขึ้นสำหรับภาษีเงินได้นั้นทำให้กระแสท่องเที่ยวเมืองรองคึกคักมากขึ้น จริงๆ ข้อดีของการเที่ยวเมืองรองไม่ใช่แค่เอาไปลดหย่อนภาษีได้เท่านั้นนะ แต่ยังมีนักท่องเที่ยวไม่แออัดหนาแน่มาก ทำให้การรอคิวต่างๆ ไม่ยาวนานมากนัก และค่าใช้จ่ายต่างๆ ไม่พุ่งสูงด้วย ซึ่งสุพรรณบุรีก็คือ 1 ใน 55 จังหวัดเมืองรองด้วย และในบทความนี้เราจะพาทุกคนไปเที่ยวสุพรรณบุรีแบบวันเดย์ทริปกันค่ะที่แรกที่ไปก็คือ "ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์กล้วยสุพรรณบุรี" สถานที่นี้จะอยู่ด้านหลังของวัดป่าฯ ซึ่งเป็นจุดหมายหลักของทริปนี้ ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์กล้วยฯ นี้เป็นที่เที่ยวเชิงเกษตร เราสามารถไปเที่ยวชมถ่ายรูป หรือจัดทริป จัดมีทติ้งแล้วไปใส่บาตรเช้าที่นี่ได้ การใส่บาตรจะมาในลักษณะแบบดั้งเดิม ที่พระจะพายเรือออกบิณฑบาตร แต่ถ้าใครตื่นเช้าไม่ไหวก็ไปเที่ยวเล่น ถ่ายรูปชิลๆ และนั่งทานอาหารริมน้ำได้ รวมถึงสามารถให้อาหารปลาได้ด้วย กองทัพต้องเดินด้วยท้อง เราไปที่นี่เพื่อหามื้อเช้าทานก่อน ราคาอาหารไม่ได้สูงมาก เช่นถ้าเป็นอาหารราดข้าว ราคาเริ่มต้นที่ 45 - 55 บาท ส่วนกับข้าวจะเริ่มต้นที่ 80 บาท หลังทานเสร็จก็ให้อาหารปลา รอให้อาหารในท้องย่อยสักครู่จากนั้นจึงไปวัดป่าฯ ต่อ ส่วนอาหารปลาจะเป็นเครื่องหยอดเหรียญ ถังละ 10 บาท และ 20 บาท ออกจากศูนย์อนุรักษ์พันธุ์กล้วยแล้วขับต่อมาอีกนิดเดียวก็จะถึง "วัดป่าเลไลยก์วรวิหาร " แต่ชาวเมืองสุพรรณก็จะเรียกที่นี่ว่า "วัดป่า" วัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองสุพรรณมาช้านาน ผู้คนจะนิยมมาสักการะ บนบานที่นี่มากกว่าวัดอื่นๆ ความโดดเด่นของวัดนี้คือภายในวิหารนั้นจะประดิษฐานหลวงพ่อโต ซึ่งมีขนาดใหญ่มากๆ แต่เดิมหลวงพ่อโตเป็นพระพุทธรูปปางประทานปฐมเทศนาและต่อมาได้มีการบูรณะและทำเป็นปางป่าเลไลยก์ ตามที่เป็นอยู่ในปัจจุบันจากที่บอกไปว่าสามารถบนและมาแก้บนได้ โดยภายในตัววัดจะตั้งโต๊ะสำหรับวางของแก้บนไว้ข้างหน้าวิหารหลวงพ่อโตฯ ที่นี่ค่อนข้างครบคันในเรื่องของการทำบุญไม่ว่าจะ ไหว้พระ บูชาพระ บริจาคทาน ทำบุญตามวันเกิด ถวายผ้าหรือสังฆทาน มาที่เดียวก็ครบจบบุญฉ่ำแล้ว แต่ถ้ายังไม่หนำใจ เราก็จะพาไปต่อที่วัดพระลอย "วัดพระลอย" เป็นอีกหนึ่งวัดเก่าแก่ของสุพรรณบุรี โดดเด่นที่อยู่ติดริมแม่น้ำท่าจีน ถึงจะร้อนแต่ยังมีลมพัดช่วยคลายร้อนได้บ้าง และสาเหตุที่ชื่อว่าวัดพระลอยนั้นก็สืบเนื่องมาจากสมัยก่อนเคยมีพระพุทธรูปปางนาคปรกเนื้อหินทรายขาวลอยมาตามแม่น้ำท่าจีน จากการสันนิษฐานของคนสมัยนั้นคาดกันว่าเป็นพระพุทธรูปสมัยลพบุรี หลังจากทำพิธีอาราธนาพระพุทธรูปขึ้นมาจากแม่น้ำก็ตามด้วยการสร้างวัด และอยู่คู่บ้านคู่เมืองมาจนถึงปัจจุบันและเมื่อเป็นวัดที่ติดแม่น้ำท่าจีนแล้ว อีกหนึ่งกิจกรรมที่ทุกคนให้ความสนใจก็คือการให้อาหารปลา โดยที่นี่จะมีแพใหญ่ยื่นลงไปที่แม่น้ำ อาหารปลาจะมีทั้งแบบขนมปังและอาหารเม็ด โดยอาหารเม็ดจะอยู่ที่ห่อล่ะ 10 บาท ส่วนขนมปัง 15 บาท ข้อแนะนำ การให้อาหารปลาเป็นสิ่งที่ดีแต่ควรให้ในปริมาณที่เหมาะสม เพราะถ้าทุกคนพร้อมใจกันให้ถังใหญ่เยอะๆ อาจส่งผลเสียแก่น้ำและระบบนิเวศได้ ดังนั้นอยากให้ทุกคนให้ในปริมาณที่พอควร ต้องไม่ลืมว่าทุกคนที่ไปวัดนี้ แทบทุกคนจะลงมาให้อาหารปลากันหมดเลยค่ะ ไม่ต้องกังวลกลัวปลาไม่มีอะไรกิน ธรรมชาติของปลามันสามารถหาอาหารใต้น้ำด้วยตัวมันเองได้ถัดจากวัดพระลอย ไปไหว้ท้าวเวสสุวรรณต่อที่วัดแค หรือที่หลายๆ คนเรียกว่า คุ้มขุนแผน ( คุ้มขุนช้างอยู่ที่วัดป่าฯ ) สำหรับวัดนี้เราสามารถบูชากราบไหว้พระได้ แล้วยังสามารถไหว้ขอพรท้าวเวสสุวรรณที่ขึ้นชื่อเรื่องลาภยศ ทรัพย์สินเงินทอง อำนาจวาสนา ใครของานมักได้งาน ขอต่ำแหน่งมักได้ นอกจากนี้ยังมีความเชื่อว่าท้าวเวสสุวรรณจะช่วยคอยปัดเป่าสิ่งไม่ดีออกไปจากชีวิตคนที่สักการะบูชา ท้าวเวสสุวรรณมี 2 รูปลักษณ์ คือ ท้าวเวสสุวรรณที่มีองค์เป็นยักษ์ หน้าที่รักษาความเรียบร้อยรวมถึงความยุติธรรมในสวรรค์ และท้าวเวสสุววรณในร่างมนุษย์ เป็นเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่ง เจ้าแห่งเงินทอง ตามความเชื่อคือคนที่บูชาร่างนี้จะช่วยเพิ่มโชคลาภ ทําให้มีกินมีใช้ตลอด แต่สำหรับวัดแคนั้นองค์จะเป็นยักษ์ยืนถือกระบองยาว การสักการะท้าวเวสสุวรรณเราจะต้องกล่าวคำบูชา 9 จบ และที่นี่ท้าวเวสสุวรรณจะตั้งอยู่กลางแจ้งเป็นการยืนกล่าวคำบูชากลางแดด รู้สึกเหมือนกว่าจะบูชาเสร็จต้องอดทนต่อสู้กับแดดเป็นอย่างมากเลย แต่ก็สู้มากจริงๆ นอกจากท้าวเวสสุวรรณแล้ว ยังมี "หมอชีวกโกมารภัจจ์" ตามความเชื่อคือช่วยเรื่องสุขภาพ ปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บ และแน่นอนว่าทุกคนสามารถไปเยือนคุ้มขุนแผนเพื่อถ่ายรูป ซึ่งจะเป็นบ้านสไตล์เรือนไม้ทรงไทยแบบโบราณ จริงๆ แล้ว วัดแคนั้นค่อนข้างมีหลายโซนนะคะ นอกจากคุ้มขุนแผน พระพุทธรูปปรางต่างๆ หมอชีวกโกมารภัจจ์ ท้าวเวสสุวรรณแล้ว ยังมีต่อยักษ์ มีถ้ำขนาดเล็กที่มีน้ำตกไหลผ่าน น่าจะเป็นการสร้างเลียนแบบธรรมชาติเซตฉากขึ้นมาแต่ปากถ้ำสามารถเข้าไปได้ และยังมีการป้อนอาหารปลาและคาเฟ่ แต่ด้วยความหิวเราเลยไปเดินหาของกินแทนไปถ้ำหรือดูต่อยักษ์ของขุนแผนแทน สุพรรณบุรีนั้นจัดเป็นจังหวัดที่ใกล้กรุงเทพ เดินทางไม่นานก็ถึง หากใครไม่มีรถส่วนตัวสามารถมาขึ้นรถมินิบัสที่ท่ารถต่างจังหวัดตรงข้ามหมอชิต ค่าโดยสารจะอยู่ที่ 120 บาทต่อเที่ยว มาถึงที่ขนส่งสุพรรณบุรีเลย และที่ขนส่งจะมีรถสองแถวรอบเมือง รถสองแถววิ่งไปวัดป่าฯ และยังมีรถสามล้อเครื่องรอบริการ เลือกที่สะดวกต่อคุณได้เลย นอกจาก 4 ที่เที่ยวในบทความนี้จริงๆ ยังมีที่เที่ยวที่น่าสนใจอื่นๆ อีกเช่น วัดไผ่โรงวัว วัดพุ่มพวง วัดเขาดีสลัก พิพิธภัณฑ์ลูกหลานพันธุ์มังกร หรือบึงฉวากเป็นต้น สุดท้ายนี้หากใครชอบบทความนี้ก็สามารถแชร์ออกไปได้เลยนะคะ และถ้าอยากติดตามเรื่องราวอื่นๆ ของหญิงเถื่อนนั้นก็สามารถติดตามกันได้ที่ twitter ที่ Artinime หรือ Facebook เพจ แบกกล้องชิลเที่ยวไปเรื่อย ได้เลยค่ะhttps://x.com/supamas_kpr/status/1804104988815405073 เรียบเรียงและถ่ายภาพโดย หญิงเถื่อน อยากไปเที่ยวไหนหรือเปล่า? หาข้อมูลที่เที่ยวสุดปังได้ที่ App TrueID โหลดเลย ฟรี !