ท่ามกลางความหลากหลายของชาติพันธุ์และวิถีชีวิตของคนจังหวัดอุทัยธานี ชุมชนชาวแพแหล่งสุดท้ายของเมืองไทย ชุมชนคนบนน้ำแห่งแม่น้ำสะแกกรังที่สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น หลายชั่วอายุคนกว่า 200 ปี จนกลายเป็นเอกลักษณ์และอัตลักษณ์อันโดดเด่นที่สุด ชาวแพใช้ชีวิตเคียงคู่อยู่กับสายน้ำมาอย่างยาวนาน ก่อให้เกิดอัตลักษณ์วิถีชีวิตที่สงบ เรียบง่ายและพอเพียง สั่งสมประสบการณ์ เกิดเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นของชุมชนแอบอิงอยู่กับสายน้ำอย่างกลมกลืน อภิสิทธิ์ ชูแก้ว ผู้ใหญ่บ้านโรงน้ำแข็ง กล่าวว่า “เมื่อก่อนผมอยู่ที่แพ เขาใช้ไม้ไผ่ยัดแพ เรียกว่า ลูกบวบ ชาวบ้านเรียกลูกบวบ แต่ภาษาราชการเรียกว่าแพไม้ไผ่ มันไม่โคลงนะ ถ้ายัดแน่นๆ 2 ปี ถึงจะซ่อมที เรือนแพอยู่ดี เดี๋ยวนี้การขับถ่ายเขามีส้วมลอยน้ำ แต่เมื่อก่อนก็ลงน้ำ ปลาสังกะวาดจะมากิน แพนี้เค้าอยู่กันมานานแล้ว ตอนนี้ใครจะสร้างแพขอบ้านเลขที่ไม่ได้ เขากำกับทะเบียนบ้านว่าสามารถเคลื่อนที่ได้ จะขอแพลอยน้ำมีบ้านเลขที่ใหม่ไม่ได้ เพราะทางจังหวัดไม่ให้เติบโตมาอีกแล้ว มีแต่จะลดถอย แต่ผมอยากจะให้ลงที่อย่างเก่า เพราะมันเป็นวิถีชีวิตเขา เรือนแพเย็นนะครับ ถ้าเจอความร้อนหนัก ๆ มันก็ร้อนนะ แต่ดีกว่าบ้านเพราะการคายความร้อนมันช้า แต่ถ้าแพเป็นไม้มันคายร้อนไว ส่วนใหญ่แพสมัยก่อนใช้ไม้สักทำ สมัยนี้ใช้ไม้ฝาและไม้ยางมีขายอยู่ อาหารการกินก็กินพืชผักสัตว์น้ำนี้แหล่ะ มีอุดมสมบูรณ์” อาชีพหลักของชาวแพ คือการทำประมงโดยการเลี้ยงปลาในกระชัง และการหาปลาในลำน้ำด้วยวิธีต่างๆ เช่น หว่านแห ดักข่าย วางเบ็ดราว ยกยอ และดักลอบ เป็นต้น รวมทั้งการงมหอยขม เพื่อนำไปบริโภค และจำหน่ายที่ตลาดสด นอกจากนั้นยังนำไปแปรรูป เป็นปลาย่าง ปลารมควัน ปลาร้า ปลาส้ม เพื่อการถนอมอาหาร และเพิ่มมูลค่าของสินค้า ถือเป็นรายได้หลักของชาวแพ นอกจากการเพิ่มมูลค่าดังกล่าว ชาวแพยังได้รายได้เสริมด้วยการปลูกพืชผัก ไม้ดอกไม้ลอยน้ำ เช่น ต้นเตย ต้นพุทธรักษา เป็นต้น มานานนับร้อยปี อาจกล่าวได้ว่าชาวแพเมืองอุทัยธานี รู้จักทำเกษตรแบบโฮโดรโปนิกส์มาตั้งแต่อดีตกาล ขอบคุณผู้ให้สัมภาษณ์ - อภิสิทธิ์ ชูแก้ว ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 5 บ้านโรงน้ำแข็ง ตำบลท่าซุง อำเภอเมืองฯ จังหวัดอุทัยธานี หมายเหตุ ภาพถ่ายโดยผู้เขียน (อังคณา แก้ววรสูตร)