ย้อนวันวาน พาไปไหว้พระที่วัดพระธาตุดอยสุเทพ กันค่ะ เริ่มจากมาวัดนี้ครั้งแรกนั้นมาพร้อมกับความแฮงค์ที่ค้างอยู่ในร่างกาย จากการปาร์ตี้ส่งท้ายวันทำงานในจังหวัดเชียงใหม่ เราและพี่เลยคุยกันว่า “ก่อนกลับกรุงเทพ ไปไหว้พระธาตุกันไหม” ใช่ค่ะ ดิฉันตกลงอย่างรวดเร็วสำหรับทริปไว้พระในครั้งนี้ เช้าตรู่ เราเก็บกระเป๋าเสื้อผ้าและของใช้ทุกอย่างลงกระเป๋าพร้อมเดินทางเราแวะกินข้าวเช้ากันก่อนขึ้นดอย เพื่อเพิ่มพลัง!! พลังอะไรค่ะ แค่ไปไหว้พระ คำพูดใคนหัวลอยมาเพราะเราเข้าใจเสมอว่า วัดพระธาตุคงไม่แตกต่างจากวัดอื่นหรอก แค่เดินไปไหว้แล้วก็กลับ จะยากอะไร? หลังจากทานเช้าเสร็จเราและพี่ก็ขึ้นรถเปิดgoogle map นำทางทริปไปไหว้พระธาตุในครั้งนี้ ข้อมูลในหัวไม่มีอะไรเกี่ยวกับวัดเลย เราขับตามแมพมาเรื่อยๆจุดแรกที่เราแวะคือ อนุสาวรีย์ ครูบาเจ้าศรีวิชัย ขณะที่เรากำลังจะจอดรถ รุ่นพี่เราก็หันมาบอกว่า “ลงจากรถไปให้เดินตรงดิ่งไปที่ร้านขายดอกไม้ ร้านไหนก็ได้เดินตรงดิ่งไปเลย “เพราะเหล่าบรรดาแม่ค้าดอกไม้ธูปเทียน จะเรียกลูกค้ากันแบบไม่หยุดพักกันเลยทีเดียว 555555 หลังจากที่กราบไหว้บูชาอนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัยกันแล้วก็ออกเดินทางกันต่อเลย เส้นทางที่โค้งคดเคี้ยวไปมาบรรยากาศข้างทางที่เต็มไปด้วยป่า บางโค้งเราก็แอบมาเห็นความลาดชันของสันเขา ห่างกันแค่อีกนิดเดียวเท่านั้นด้วยความโค้งเยอะและแรงเหวี่ยงไปมาก็พะอืดพะอมกันอยู่ช่วงอึดใจนึง รุ่นพี่ก็ตะโกนบอกว่าโค้งข้างหน้าคือ “โค้งสุดท้ายก่อนถึงดอยสุเทพนะ “ ตั้งตารอเพื่อที่จะชมโค้งนี้ เลย ไม่ผิดหวังกับโค้งนี้เลย เรียกว่าวัดใจกับเครื่องยนต์และฝีมือคนขับ ทำให้ช่วงหักซอกแล้วเร่งเครื่องมันตื่นเต้นที่สุดเลยละ โค้งนี้มีชื่อเรียกว่า " โค้งขุนกันชนะนนท์ " พอได้ยินแล้วหลายคนคงไม่คุ้นกันเท่าไหร่ แต่ถ้าเรียกโคิงสปิริตไง หลายคนคงร้อง “อ่อ” ฉันก็ร้องอ่อ เพราะรู้จักกับประเพณีรับน้องขึ้นดอยของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นอย่างดี สิ้นสุดความคิดนั้นก็นึกขึ้นมาได้ว่า ต้องเดินขึ้นบันไดนะ จะไหวหรอ? เอาหน่ามาถึงแล้วก็ต้องลอง จะกี่ขึ้นกันเชียวละวัยรุ่นอย่างเราไหวอยู่แล้ว ก้าวเท้าออกจากลานจอด เดินไปพร้อมกับความมั่นใจจะกี่ขั้นก็ไม่หวั่น ยิ้มอ่อนกับป้ายหน้าวัด กับภาพที่มองเห็น อุทานขึ้นมาในใจแค่นี้เองหรอ! หันไปมองหน้าเพื่อนส่งยิ้มหวานแค่นี้จิ๊บๆ ก้าวต่อไปสามสี่ขั้นก็ถึงกับผงะกับภาพที่เห็นข้างล่างกับตอนนี้นั้นมันช่างแตกต่างกันราวภาพลวงตา55555555 นี้สิ่ของจริง! แต่ต้องบอกเลยว่า พอก้าวเท้าเข้ามาในเขตวัดพระธาตุแล้วอากาศค่อนข้างเย็นสบายๆ ข้างบันไดทั้งสองเป็นต้นไม้ใหญ่ สูงใหญ่กิ่งก้านของมันปกคุมท้องฟ้า ทำให้แม้ที่เรายืนอยู่นั้นจะสูงจากผืดดินเท่าไหร่ แสงแดดก็ทำได้แค่ส่องแสงอ่อนๆ กลับมาเท่านั้นเอง เดินสลับกับการพักร่างกายมาเรื่อยๆ บรรยากาศโดยรอบของที่นี้ทำให้ความเหนื่อยค่อยๆหายไป อย่างไม่น่าเชื่อเลย ผู้คนที่เดินทางมาด้วยความศรัทธาหลังไหลมาให้พบเห็นตลอดทั้งไทยและต่างชาติ ต่างตื่นตาตื่นใจกับบรรยากาศของที่นี้ บันไดทางขึ้นมี 185 ขั้นสำหรับหลายคนแค่นี้ คือเบาๆ แต่สำหรับเราก็ค่อนข้างที่จะทำให้หอบได้ง่ายๆเลยทีเดียว ในที่สุดเราก็เดินขึ้นมาถึงทางเข้าหลักของที่นี้ เดินลอดเข้าไป ก็จะเจอทั้งห้องน้ำ ร้านค้าขายของต่างๆ ที่สำคัญค่ะ กระเช้ารับส่งขึ้นลงคนราคา คนไทย 20฿ ต่างขาติ50฿ 5555555 รู้สึกเหมือนโดนหลอกเลย แต่ตอนนี้ก็กลับมานั่งคิดถ้ามีโอกาสได้กลับไปกราบสักการะพระธาตุดอยคำอีกครั้ง ก็เลือกที่จะเดินขึ้นบันได 185 ขั้น เช่นเดิม ลองคิดกันดูว่าถ้าเรามาในวัย70 ปี ที่ต้องขึ้นกระเช้าเท่านั้นคงนึกเสียดายไม่น้อยเลยน่าจะมาเสียตั้งแต่วัยรุ่นจะได้เดินชมบรรยากาศของป่าดอยสุเทพ เอาละกลับมาที่วัดกันต่อ สำหรับผู้หญิงที่ใส่กางเกงเลยเข่าขึ้นมานั่นจะต้องสวมผ้าถุงอีกชั้นนึงเพื่อความสำรวมและเรียบร้อย ที่วัดมีบริการให้ฟรีนะคะ เราได้บูชาดอกบัวกับทางวัดที่เตรียมไว้ เราเดินเวียนเทียนจนครบ สามรอบสักการะจนเสร็จนั่งพักและเดินชมวิวรอบๆพระธาตุ ในที่แดดอ่อน ลมที่พัดมา ทำให้หายเหนื่อยและรู้สึกสบายใจอย่างมากในวันนั้น แสงแดดที่กระทบมายังยอดพระธาตุ ในตอนบ่ายนี้ ช่างสวยงามจริงๆหากมีโอกาสก็อยากจะกลับมาที่นี้อีกครั้ง ผู้คนค่อนข้างเยอะเลย 1 รูปก่อนกลับ ไม่ลืมที่จะซื้อโปสการ์ดเป็นที่ระลึกในทุกๆที่ได้ไป การเดินทางท่องเที่ยวทุกครั้งที่ได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมนั้น การถ่ายภาพเก็บไว้บางครั้งอาจโดนเพื่อนร่วมทริปแซวบ่อยๆว่า”ถ่ายไปทำ โฟโต้บุ๊คหรอ 555555” เราก็เขิลและเก็บมือถือลง ทำให้ตอนนี้นึกเสียดาย หลายครั้งสถานที่ที่ไปรูปถ่ายที่นั่นนั้นมีน้อยมากๆ และจากนี้ไปเราจะไปไหนจะถ่ายให้เยอะกว่าทุกๆ ครั้งเลย😊 เรื่องราว :: arisa ภาพถ่าย ::arisa