หากพูดถึงนักศึกษาแพทย์แล้ว หลายคนมักนึกถึงมหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่โดดเด่นทางการแพทย์ และมีโรงพยาบาลที่อยู่ในเครืออย่างโรงพยาบาลศิริราชและโรงพยาบาลรามาธิบดี วันนี้เราเลยจะพาทุกคนมาย้อนรอยเรื่องราวประวัติศาสตร์ทางการแพทย์และตามติดวิถีชีวิตของนักศึกษาแพทย์กันที่ “พิพิธภัณฑ์ศิริราชพิมุขสถาน” แบบไม่ต้องสอบเข้าเป็นแพทย์เลยแม้แต่น้อย ถ้าพร้อมแล้ว เรามาเที่ยวชมกันเลยดีกว่าค่ะ! ^^ “พิพิธภัณฑ์ศิริราชพิมุขสถาน” เป็นพิพิธภัณฑ์สมัยใหม่ที่ตั้งอยู่ทางด้านหลังของโรงพยาบาลศิริราช ติดริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งจัดแสดงเรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับวิทยาการทางการแพทย์ เช่น ประวัติโรงพยาบาลศิริราช, ประวัติการแพทย์แผนไทย, ประวัติพิพิธภัณฑ์ศิริราชพิมุขสถาน, ประวัติศาสตร์ของพื้นที่บริเวณคลองบางกอกน้อย-วังหลัง ตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรีจนถึงปัจจุบัน, การสร้างทางรถไฟสายใต้และวิถีชุมชนบางกอกน้อย โดยพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ใช้อาคารสถานีรถไฟธนบุรี (เดิม) มาสร้างขึ้นใหม่แบ่งเป็น 3 อาคารด้วยกัน คือ อาคารพิพิธภัณฑ์ 1 มี 2 ชั้น, อาคารพิพิธภัณฑ์ 2 มี 2 ชั้น (แต่เป็นพื้นที่จัดแสดงและร้านอาหารที่ชั้น 2) และ อาคารพิพิธภัณฑ์ 3 มีชั้นเดียวค่ะ ด้วยความที่เรามาพิพิธภัณฑ์ฯ แต่เช้าก่อนเปิดให้เข้าชมเพื่อถ่ายรูปแบบไม่ติดคน จึงเดินถ่ายรูปบรรยากาศรอบพิพิธภัณฑ์ อย่างท่ารถไฟ, อาคารหลักของพิพิธภัณฑ์, ลานพลับพลาที่เป็นศาลาทรงไทยแบบจตุรมุข และรถไฟแบบหัวรถจักรโบราณค่ะ ท่ารถไฟเป็นท่าเรือขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ทางด้านหลังโรงพยาบาลและใกล้กับอาคารพิพิธภัณฑ์ ซึ่งบริเวณรอบ ๆ ท่ารถไฟจะเป็นทางเดินไปยังโรงพยาบาลที่ร่มรื่นด้วยต้นไม้ เหมาะสำหรับมาเดินกินลมชมวิวในยามเช้าและยามเย็นค่ะ อาคารหลักของพิพิธภัณฑ์ดัดแปลงโครงสร้างจากสถานีรถไฟธนบุรี (เดิม) และปรับปรุงให้มีความสวยงาม แต่ยังคงสถาปัตยกรรมเดิมไว้ โดยลักษณะเป็นอาคารสีเหลืองนวลสลับกับอิฐสีส้มและมีหอนาฬิกาสูงตั้งอยู่ด้านข้างค่ะ ทางด้านขวาของอาคารพิพิธภัณฑ์เป็นลานพลับพลา ซึ่งมีลักษณะศาลาทรงไทยแบบจตุรมุขตั้งอย่างโดดเด่นสวยงามสง่าอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ภายในศาลาประดิษฐานพระราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะทรงอุ้มพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์ค่ะ ใกล้กับหอนาฬิกาของอาคารพิพิธภัณฑ์มีรถไฟแบบหัวรถจักรโบราณให้ได้ชมหรือถ่ายรูปเท่านั้น ห้ามปีนขึ้นไปบนรถไฟเด็ดขาดนะคะ เมื่อเดินเข้ามาภายในอาคารบริเวณ “โถงต้อนรับ” ที่ยังคงสภาพเดิมไว้คือ มีเคาน์เตอร์ขายบัตรเข้าชมพิพิธภัณฑ์คล้ายเคาน์เตอร์ขายตั๋วโดยสาร และเก้าอี้สีน้ำตาลสุดคลาสสิกสำหรับนั่งรอขึ้นรถไฟหรือรอรับ-ส่งญาติพี่น้อง ให้ความรู้สึกเหมือนย้อนบรรยากาศการเดินทางโดยรถไฟยังไงยังงั้นเลยค่ะ หลังจากซื้อบัตรเข้าชมแล้ว เราเริ่มเดินชมโดยเริ่มจากอาคาร 1 ที่ “ห้องศิริราชขัตติยพิมาน” ซึ่งเป็นห้องจัดแสดงพระบรมสาทิสลักษณ์ พระสาทิสลักษณ์ พระราชดำรัส พระราชเสาวนีย์ และพระดำรัสในพระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ ผู้ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณและพระกรุณาธิคุณต่อโรงพยาบาลศิริราชและการแพทย์ของประเทศไทยมาอย่างยาวนานค่ะ ถัดมาอีกห้องคือ “ห้องสถานพิมุขมงคลเขต” ซึ่งเป็นห้องจัดแสดงพระราชประวัติของกรมพระราชวังบวรสถานพิมุข หรือกรมพระราชวังหลังผ่านจิตรกรรมไทยแบบประเพณี, จัดแสดงหุ่นละครในพระราชนิพนธ์เรื่อง “พระศรีเมือง” ในตู้ไม้ทั้งฝั่งซ้าย-ขวาของห้อง, ภาพตัวละครเอกในวรรณคดีเรื่อง “ไซ่ฮั่น”, บุษบกทองอร่ามที่ประดิษฐานพระนิรันตรายตั้งอยู่กลางห้อง และภาพจิตรกรรม “อนุรักษ์เทเวศร์กิตติประกาศ” ที่เป็นจุดเด่นของห้องนี้ค่ะ หลังจากชม “ห้องสถานพิมุขมงคลเขต” แล้วเดินต่อไปเพื่อชมห้อง “โบราณราชศัสตรา” ระหว่างทางก็จะมีฐานป้อมพระราชวังหลังและเครื่องถ้วยโบราณจัดแสดงให้ได้ชมกัน รวมถึงป้ายความรู้บอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ เช่น แผนที่กรุงธนบุรี-บางกอก, วังหลัง, พระราชวังหลังในสมัยรัตนโกสินทร์, ต้นราชสกุลวังหลัง เป็นต้น เดินมาถึง “ห้องโบราณราชศัสตรา” แล้วจะมีป้ายห้ามถ่ายรูปตั้งไว้บริเวณทางเดินก่อนเข้าห้อง ซึ่งภายในห้องจัดแสดงศาสตราวุธหรืออาวุธโบราณต่าง ๆ อันทรงคุณค่ายิ่ง เนื่องจากทางคณะแพทยศาสตร์ได้รับมอบจากราชสกุล “เสนีวงศ์” (ราชสกุลที่สืบเชื้อสายจากกรมพระราชวังบวรสถานพิมุข) สำหรับใครที่ต้องการชื่นชมความงดงามของศาสตราวุธ ต้องมาสัมผัสด้วยตนเองเท่านั้นค่ะ ชมศาสตราวุธแล้วจึงเดินต่อไปยัง “ห้องคมนาคมบรรหาร” แต่ก่อนที่จะเข้าไปในห้องนี้ จะมีมุมจัดแสดง “โรงต้มฝิ่นหลวง” แบบจำลองตั้งอยู่หน้าห้อง ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงวางนโยบายเกี่ยวกับฝิ่นให้รัดกุมยิ่งขึ้นด้วยการตั้งโรงต้มฝิ่นหลวงและเจ้าภาษีฝิ่น เพื่อผูกขาดการซื้อขายฝิ่นทั่วราชอาณาจักร ทำให้สามารถควบคุมการสูบฝิ่นให้อยู่ในกำกับของรัฐค่ะ ชม “โรงต้มฝิ่นหลวง” แล้วก็ถึงเวลาเดินเข้าไปใน “ห้องคมนาคมบรรหาร” ซึ่งเป็นห้องชมภาพยนตร์ระบบสี่มิติสุดระทึกใจที่บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของการสร้างสถานีรถไฟธนบุรี, พื้นที่บางกอกน้อย, ฉากหรือเหตุการณ์สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยห้องนี้มีจุดเด่นอยู่ตรงที่จำลองบรรยากาศให้เสมือนจริง ทั้งแสง สี เสียง และเอฟเฟกต์ต่าง ๆ เช่น ฉากทิ้งระเบิดในสงครามก็เหมือนมีระเบิดลงตรงหน้า รับรองว่าสนุก ตื่นเต้น และได้ความรู้ไปพร้อมกันอย่างแน่นอนค่ะ ชมภาพยนตร์สี่มิติแล้วก็เดินขึ้นบันไดไปชั้น 2 ใน “ห้องศิริราชบุราณปวัตติ์” ซึ่งเป็นห้องจัดแสดงเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของโรงพยาบาลศิริราช ตั้งแต่ยุคก่อตั้งโรงพยาบาลมาจนถึงปัจจุบัน รวมถึงการเรียนการสอนของนักศึกษาแพทย์ที่จำลองบรรยากาศเสมือนเป็นนักศึกษาแพทย์จริง ๆ โดยจุดเด่นของห้องนี้คือจัดแสดงโซนจำลองห้องปฏิบัติการทางการแพทย์และอุปกรณ์การแพทย์แบบต่าง ๆ เช่น ห้องผ่าตัด, ห้องเรียนอาจารย์ใหญ่, ห้องตรวจโรคผู้ป่วยนอก (ห้อง OPD), ห้องตรวจตา, ห้องสมุด เป็นต้น ห้องเรียนอาจารย์ใหญ่หรือห้องเรียนกายวิภาคศาสตร์จะมีร่างอาจารย์ใหญ่ที่นอนอุทิศร่างบนโต๊ะปฏิบัติการ, โครงกระดูก และกระดานดำ ซึ่ง “อาจารย์ใหญ่” เป็นบุคคลที่บริจาคร่างกายของตนเองเพื่อให้นักศึกษาแพทย์ได้ใช้เรียนก่อนจะเป็นแพทย์รักษาผู้ป่วยในอนาคต ถือได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญของการเรียนกายวิภาคศาสตร์หรือร่างกายมนุษย์เลยทีเดียว โดยใต้โต๊ะของร่างอาจารย์ใหญ่นั้น หากสังเกตดี ๆ จะเห็นว่ามีถังรองน้ำมันจากตัวอาจารย์ใหญ่ หลังจากนักศึกษาแพทย์เรียนเสร็จจะนำถังเหล่านี้ไปทิ้งและทำความสะอาดต่อไปค่ะ ไฮไลท์ของห้องนี้ที่ห้ามพลาดเลยคือ “โซนห้องผ่าตัด” ซึ่งโซนนี้จำลองการผ่าตัดแบบย้อนยุคที่ผู้เข้าชมสามารถสวมบทบาทเป็นคุณหมอผ่าตัดหรือคุณหมอดมยา และฝึกการทำงานเป็นทีมเพื่อช่วยชีวิตผู้ป่วย อีกทั้งยังมีอุปกรณ์เครื่องมือการผ่าตัดเหมือนกับที่ใช้ในห้องผ่าตัดให้ได้ชมกันค่ะ ไม่ว่าจะเป็นมีด, ใบมีด, กรรไกร, เครื่องดึงถ่าง, ที่คีบ และผ้าก๊อซ พอได้ชมโซนจำลองแต่ละโซนภายใน “ห้องศิริราชบุราณปวัตติ์” แล้ว ทำให้ทราบว่ากว่านักศึกษาแพทย์จะเรียนจบมาเป็นแพทย์เพื่อรักษาผู้ป่วยนั้นไม่ง่ายเลยจริง ๆ เพราะต้องใช้เวลาเรียนนานถึง 6 ปี ไหนจะต้องสอบใบประกอบอาชีพแพทย์อีก จึงต้องขยัน อดทน และพยายามอย่างมากเลยทีเดียวค่ะ หลังจากชมวิทยาศาสตร์การแพทย์แล้วก็เดินเข้าชม “ห้องสยามรัฐเวชศาสตร์” กันต่อ ซึ่งห้องนี้จัดแสดงเกี่ยวกับร่างกายมนุษย์และการแพทย์แผนไทย เช่น ร่างกายมนุษย์กับการรักษาโรค, การมีสุขภาพดีด้วยหลักธรรมานามัย, การใช้ยาสมุนไพรไทย และการนวดแผนไทย โดยคำว่า “สยามรัฐ” หมายถึงประเทศไทย ส่วนคำว่า “เวชศาสตร์” หมายถึง วิชาว่าด้วยการรักษาโรคโดยการใช้ยา หรือชื่อตำรารักษาโรคแผนโบราณค่ะ โซนแรกคือโซน “มหัศจรรย์ร่างกายมนุษย์” ซึ่งเป็นโซนไขรหัสการแพทย์ที่บอกเล่าความจริงเกี่ยวกับร่างกายมนุษย์ในมุมมองของการแพทย์แผนไทยกับการแพทย์แผนตะวันตก และถอดรหัสความรู้สู่การมีสุขภาพดีด้วยหลักธรรมานามัยที่กล่าวถึงจิตตานามัย (การดูแลให้เกิดอนามัยของจิต), กายานามัย (การดูแลให้เกิดอนามัยของกาย) และชีวิตานามัย (การดูแลการใช้ชีวิตหรือการดำเนินชีวิตตามหลักอนามัย) ค่ะ โซนถัดมาคือ “การแพทย์แผนไทย” ที่บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับสมุนไพรไทยหลายร้อยชนิดและอุปกรณ์/เครื่องมือที่ใช้ในการทำยา เพื่อนำมารักษาโรคต่าง ๆ ผ่านการจำลองบรรยากาศร้านขายยาโบราณที่เสมือนจริงอย่าง “ร้านโอสถวัฒนา” ซึ่งถือเป็นจุดเด่นของห้องสยามรัฐเวชศาสตร์เลยทีเดียว นอกจากนั้นยังมีโถยาไทยชนิดต่าง ๆ ตั้งเรียงรายในตู้กระจกใสอยู่เต็มไปหมด และจำลองห้องอยู่ไฟหลังคลอดลูกที่เป็นการฟื้นฟูสุขภาพผู้หญิงหลังคลอดลูก ปัจจุบันอาจมีให้เห็นบ้างประปราย เนื่องจากมีการรับแพทย์แผนปัจจุบันเข้ามาใช้ค่ะ ชมห้อง “สยามรัฐเวชศาสตร์” แล้วก็เดินเชื่อมต่อไปยังชั้น 2 ของอาคาร 2 ที่ห้อง “พิพิธภัณฑ์ศัลยศาสตร์ศิริราช” ซึ่งห้องนี้จัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับวงการศัลยศาสตร์ไทยที่มีประวัติยาวนานกว่า 100 ปี และจัดแสดงความรู้ในทุกสาขาของศัลยศาสตร์ที่ผู้ชมจะได้เข้ามามีส่วนร่วมในห้องผ่าตัดค่ะ เช่น สาขาศัลยศาสตร์ทั่วไป, สาขาวิชาศัลยศาสตร์ระบบทางเดินปัสสาวะ, สาขาวิชาศัลยศาสตร์ศีรษะ คอ และเต้านม, สาขาประสาทศัลยศาสตร์, สาขาศัลยศาสตร์ตกแต่ง, สาขาศัลยศาสตร์หัวใจและทรวงอก, สาขากุมารศัลยศาสตร์, สาขาศัลยศาสตร์หลอดเลือด, สาขาศัลยศาสตร์อุบัติเหตุ และสาขาศัลยศาสตร์ฉุกเฉินและการบริบาลผู้ป่วยนอก เป็นต้น ถัดมาอีกห้องเป็นร้านคาเฟ่ “Tiny Elephant Coffee” ที่ขายหลากหลายเมนู ไม่ว่าจะเป็นกาแฟ, เครื่องดื่ม, ขนมเค้ก และไอศกรีมรสต่าง ๆ ซึ่งกาแฟของร้านนี้มีความพิเศษอยู่ตรงที่ทางร้านจะใช้เมล็ดกาแฟจากยอดดอยทางภาคเหนือ สำหรับผู้เข้าชมพิพิธภัณฑ์ศิริราชสามารถใช้ตั๋วเข้าชมเป็นคูปองส่วนลด 10% อีกด้วยค่ะ จากนั้นเดินลงบันไดเพื่อไปยังอาคาร 3 ชื่อ “นิวาสศิรินาเวศ” กันต่อ ซึ่งอาคารนี้เป็นอาคารไม้ชั้นเดียวที่แบ่งออกเป็น 2 โซนด้วยกันคือ โซนเรือโบราณ และโซนวิถีชีวิตชาวบางกอกน้อย โดยจุดเด่นของอาคารนี้คือ “เรือไม้โบราณลำใหญ่” ที่ขุดพบแถวพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ค่ะ โซนเรือโบราณเป็นโซนจัดแสดงเรือไม้โบราณที่ยาวถึง 24 เมตร และกว้าง 5 เมตร ถูกฝังกลบลึกลงไปใต้ดินถึงกว่า 7 เมตรเป็นระยะเวลานานกว่า 100 ปี หากแหงนหน้ามองขึ้นไปบนหลังคาจะเป็นกระจกใสที่สะท้อนให้เห็นท้องเรือขนาดใหญ่ลำนี้ ซึ่งเรือลำนี้ถือเป็นเรือไม้ลำใหญ่ที่สุดของประเทศเท่าที่เคยขุดค้นได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นโบราณวัตถุขนาดใหญ่ที่ได้รับการอนุรักษ์ให้เป็นสมบัติของชาติและเป็นหนึ่งในมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าของประเทศไทย โดยมีชิ้นส่วนต่าง ๆ ของเรือและสิ่งของในการกู้เรือ/อนุรักษ์เรือลำนี้มาจัดแสดง พร้อมทั้งความรู้ของเรือประเภทต่าง ๆ ให้ได้ชมกันค่ะ โซนวิถีชีวิตชาวบางกอกน้อยเป็นโซนจำลองบรรยากาศ สภาพแวดล้อม และวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชุมชนบางกอกน้อยในอดีต เช่น ตลาดน้ำ-ตลาดบก, ชุมชนไทยมุสลิม, ร้านค้าชาวจีน, บ้านข้าราชการ, ศาลาโรงธรรม, ลานฝึกกระบี่กระบอง, โรงละคร, ร้านอาหาร และหุ่นจำลอง “สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)” อดีตเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆษิตารามที่เป็นศูนย์รวมจิตใจและเคารพนับถือของผู้คนในสมัยนั้นจวบจนถึงปัจจุบันค่ะ สำหรับคนที่สนใจเรื่องราวการแพทย์ โดยเฉพาะน้อง ๆ ม.ปลาย ที่เตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยและต้องการเป็นหมอห้ามพลาดชม “พิพิธภัณฑ์ศิริราชพิมุขสถาน” เด็ดขาด เพราะนอกจากจะได้รับความรู้อีกเพียบแล้ว ยังได้เพลิดเพลินกับสิ่งของต่าง ๆ ที่จำลองเสมือนจริงมาจัดแสดงให้ได้ชมกันอีกด้วย รับรองว่าการเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ไม่น่าเบื่ออย่างแน่นอนค่ะ ^^ ปักหมุดได้ที่: พิพิธภัณฑ์ศิริราชพิมุขสถาน เลขที่ 2 ถนนวังหลัง แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ 10700 GPS: https://maps.app.goo.gl/rGuTWRj8vyZaXePt7 Email: Sirirajmuseum@gmail.com โทร: 02-414-1464, 02-419-2601, 02-419-2618-9 Facebook Fanpage: https://www.facebook.com/siriraj.museum Instagram: https://www.instagram.com/sirirajmuseum/ เว็บไซต์: http://www.sirirajmuseum.com เสียค่าเข้าชม: - คนไทย >> ผู้ใหญ่ (อายุ 18 ปีขึ้นไป) ราคา 80 บาท / ผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) ราคา 50 บาท / เด็ก (ไม่เกิน 18 ปี) ราคา 25 บาท / เด็กสูงไม่เกิน 120 เซนติเมตร และผู้พิการเข้าฟรี - ชาวต่างชาติ >> ราคา 200 บาท เปิด: วันจันทร์, พุธ-อาทิตย์ เวลา 10.00 - 17.00 น. (หยุดวันอังคารและวันหยุดนักขัตฤกษ์) / ปิดจำหน่ายตั๋วเข้าชมทุกประเภท เวลา 16.00 น. เดินทางโดยรถโดยสารสาธารณะ: รถเมล์สาย 57 , 81 , 157 หรือ รถกะป๊อสายใต้เก่า-รพ.ศิริราช เดินทางโดยรถไฟใต้ดิน (MRT): เรือด่วนเจ้าพระยา ให้ลงท่ารถไฟ / เรือข้ามฟาก ท่าพระจันทร์-วังหลัง, ท่าช้าง-วังหลัง ออกแบบหน้าปกใน Canva โดย: Windy_55 (ผู้เขียน) เครดิตภาพประกอบบทความทั้งหมดโดย: Windy_55 (ผู้เขียน) อยากไปเที่ยวไหนหรือเปล่า? หาข้อมูลที่เที่ยวสุดปังได้ที่ App TrueID โหลดเลย ฟรี !