แต่งงานแล้วไปฮันนีมูนที่ไหนดีคะ คำถามที่เราถามสามี ด้วยงบอันแสนน้อยนิด กับสองชีวิต จะไปไหนดีน๊า…ด้วยสองคนเพิ่งเริ่มทำงานและเพิ่งจะสร้างครอบครัว จึงอยากไปเที่ยวต่างประเทศสักครั้งก่อนที่จะไม่มีเวลาไป เราก็มานั่งคืดกับสามี คิไปคิดมา คิดมาคิดไป สามีเคยไปเวียดนาม แล้วนางประทับใจ จึงตัดสินใจไป เวียดนาม ตกลงกันได้ก็จองตั๋วและวางแผนสิคะ รออะไร อยากไปเที่ยว จองเครื่อง จองที่พักเสร็จสับ เราก็ออกเดินทาง ไปนอนรอที่สนามบินดอนเมืองตั้งแต่ค่ำอีกวันจนถึงเวลาเครื่องออก อนิจจาค่า อนิจจา …เราตกเครื่องเพราะสามีดูเวลาผิดจากขึ้นเครื่อง 7.30 น.นางคิดว่าเป็น 8.30 น.ซะงั้น เราก็ไม่เอะใจจะเอาตั๋วมาดู สรุปคือได้ซื้อตั๋วใหม่ขาไปนะคะ เอาแล้วไง ความวุ่นกำลังจิบังเกิดต่อไปหรือไม่ พอเรานั่งเครื่องมาถึงเวียดนาม (สนามบินโหน่ยบาย เมืองฮานอย) เราก็ใช้อินเตอร์เน็ตของสนามบินติดต่อกับทางโรงแรม ทางโรงแรมก็โทรมาถามว่า “จะให้เราส่งรถไปรับไหมคะ หากให้มารับจะต้องจ่ายค่ารถประมาณ 30$”เรากับสามีมองหน้ากันโอ้ววว…แพงอ่ะ จึงตอบไปว่า “ไม่ค่ะ เดี๋ยวเรานั่งรถไปเอง” จึงถามไปทางโรงแรมว่าเราจะต้องขึ้นรถอะไรยังไง ทางโรงแรมก็บอกว่าจะต้องนั่งรถสายอะไร พิกัด: ท่าอากาศยานโหน่ยบายถึงสนามบินโดยสวัสดิภาพค่ะถึงท่ารถเมล์แล้วค่ะ จุดเริ่มต้นของเรื่องวุ่นๆ กำลังบังเกิด… ตอนที่กำลังเดินไปขึ้นรถก็ไปเจอคนมุ่งอะไรสักอย่าง เลยเดินเข้าไปดู เป็นบูธขายซิมโทรศัพท์ (จำไม่ได้ว่าราคาเท่าไหร่ค่ะ แต่ฟังแล้วคิดว่าแพง) เราไม่ซื้อ คิดว่าจะไปซื้อในเมืองเอาดีกว่าน่าจะถูกกว่า คราวนี้เราก็เดินมาขึ้นรถเมล์ พอขึ้นไป ไม่นะ…จะลงตรงไหน มองซ้ายมองขวา ต๊ายย โทรศัพท์ไม่มีสัญญาณอะไรสักอย่าง ติดต่อโรงแรมไงดี ตายแท้ที่นี้ แต่ทว่าดวงยังดีค่ะ กระเป๋ารถเมล์เห็นเด๋อๆ ด๋าๆ วอกๆ แวกๆ ก็เลยถามว่าจะไปไหน เราก็เลยเอารูปชื่อโรงแรมให้ดูนางจึงบอกที่ลงให้ เกือบแล้วค่ะ เกือบไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ใจหายใจคว่ำค่ะ พอลงปุ๊บยังนะคะ ยังไม่ถึงที่พักนะคะ ต้องเดินหาค่ะ เรากับสามีก็เดินหา เดินหา เดิน แล้วก็เดิน เดินออกซอยนั้น เข้าซอยนี้ โอ๊ยย วนไปวนมาที่เดิมไม่ไปไหนค่ะ จราจรก็ติดขัด รถจักรยานยนต์ก็วุ่นไปหมด ร้อนก็ร้อน อิฉันเริ่มแล้วค่ะ ไมเกรนเริ่มมาด้วยเสียงแตร ปิ๊ป ๆๆๆๆๆๆ จากหลายทาง จักรยานยนย์แบบขับไปบีบแตรไปค่ะ หัวอิแม่จิปวด เลยบอกสามี ไม่ไหวแล้วจ้า จะเป็นลมเอา ช่วงนั้นใกล้เที่ยงอีก หิวก็หิว ร้อนก็ร้อน วุ่นวายทางจราจรอี๊ก หอบของพะรุงพะรังไปอีก เลยพากันนั่งพักสักครู่ แล้วเราจึงตัดสินใจโบกค่าโบกแท็กซี่ เดินไม่ไหวจริงๆ กะว่าขึ้นแท็กซี่น่าจะถึงเร็วกว่าจะได้พักสักที เราก็โดดขึ้นแท็กซี่อย่างไว นางก็ถามว่าจะไปไหน (เป็นภาษาเวียดนาม) ฟังไม่รู้เรื่อง เดาจากบริบทค่ะ เราจึงให้นางดูในภาพที่เราแคปชื่อโรงแรมไว้ นางก็ขับไป แล้วนางก็ทำเป็นงงๆ เราก็งง ไม่รู้นางพูดไรอีก งงกันไป ดูท่าแล้วนางจะไปไม่ถูก เราเห็นท่าไม่น่ารอดเลยบอกนางจอด Stop! Stop! Stop! (I จะลงประมาณนี้) นางไม่รู้เรื่องค่า เลยพากันเคาะเบาะคนขับ นางเลยจอด แล้วเราก็จ่ายค่ารถไปแล้วก็ลง เราลงหน้าแผงลอยขายอาหารเล็กๆ ข้างถนน แล้วก็ยืนทำงงกันสองสามีภรรยา จิไปอย่างไรต่อหนอ หันซ้าย หันขวา เกาหัวแครกๆ คุณป้าที่เป็นเจ้าของแผงอาหารก็มาถามว่ามีอะไรให้ช่วยไหม (เป็นภาษาอังกฤษ เรากับสามีสื่อสารได้เฉพาะภาษาอังกฤษนะคะ) เราจึงแสดงที่อยู่ของโรงแรมให้ดู คุณป้าก็ทำหน้าไม่แน่ใจ เขาบอกว่ามันมีชื่อซอยที่ชื่อคล้ายๆกันอยู่ ต่างกันแค่วรรณยุกต์ ทุกคนขา…ภาษาเวียดนามก็มีวรรณยุกต์นะคะ แต่ในเว็บที่เราจองที่พักเขาไม่ใส่วรรณยุกต์ให้เราจึงแยกไม่ได้ว่าซอยไหน เราก็เอาแล้วทำไงต่อ เราจึยืมมือถือคุณป้าโทรหาทางโรงแรมแล้วให้คุณป้าคุยกับทางโรงแรม คุณป้าก็จดชื่อซอย และที่อยู่โรงแรมเป็นภาษาเวียดนามให้ แล้วก็พาเราไปส่งขึ้นรถถีบไปยังโรงแรม เราขอบคุณคุณป้ามากๆค่ะ เราก็นั่งรถถีบจนไปถึงโรงแรม ทุกคน…ในที่สุดเราก็ถึงโรงแรมค่ะ ลงเครื่องประมาณ 10 โมงกว่าๆ นั่งรถมาถึงเมืองประมาณ 10.40 น. เดินวนไปวนมาหาที่พัก จนถึงที่พัก 4โมงเย็นกว่าๆ เดินจนเมื่อย 5-6 ชม. (รู้งี้ให้รถโรงแรมมารับดีก่า ถึงที่พักเร็ว ได้เดินเที่ยวอีก ไม่ต้องแบกกระเป๋าให้เหนื่อย) แต่ก็สนุกไปอีกแบบแหละค่ะตัวอย่างภาษาเวียดนามเมนูอาหารที่เราทานในวันแรกที่ถึงโรงแรมค่ะ อาหารเย็น แหนมเนืองแท้ จากเวียดนาม แป้งห่อจะแข็งๆ กรอบๆค่ะ ไม่มีน้ำให้แช่แป้งเหมือนไทยค่ะ และข้าวผัดรสจืดๆค่ะ เรานอนโรงแรม 1 คืนค่ะ พอตื่นมาอีกวัน เราก็เดินทางไปเที่ยว ฮาลองเบย์ ไปนั่งเรือ ทานอาหารเที่ยง (อาหารที่ทานก็จะเป็นปอเปี๊ยทอด จืดๆ ผัดผักมันๆ จืดๆ ไส้กรอกทอด เท่าที่จำได้นะคะ ถ้าใครชอบอาหารรถจัดจ้านแนะนำ เตรียมน้ำปลา พริก และซอสไปด้วยนะคะ) ไปฮาลองเบย์ก็ทานอาหารบนเรือ แล้วก็ไปนั่งเรือพาย บรรยากาศดี สวยมากค่ะพิกัด : ฮาลองเบย์ถึงแล้วค่ะ ฮาลองเบย์ (Halong bay) นั่งเรือพายค่ะ ชมฮาลองเบย์ กลับจากฮาลองเบย์ เราก็ซื้อแพคเกจไปซาปากันต่อ เราเดินทางกันวันนั้นเลย เราซื้อแพคเกจเดินทางพร้อมที่พักไปค่ะ เดินทางกลางคืนค่ะ เส้นทางนี่ขึ้นเขาคดเคี้ยวมากค่ะ แบบหน้ารถยื่นออกไปบนหน้าผาแล้วอ่าค่ะ แต่ไม่ตกนะ คนขับเขาชำนาญ เราไปถึงช่วงเช้านะคะ พอไปถึงก็เข้าที่พัก แล้วก็ไปเที่ยวดอยค่ะ จะมีไกด์นำเที่ยวเป็นชาวพื้นเมือง คล้ายๆชาวดอยบ้านเราค่ะ เราเดินไปกับกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ 4-5 คนค่ะ เดินผ่านเขาไป ไปดูนาขั้นบันได ไปจนถึงเมืองกั๊ตกั๊ต และน้ำตกสีเงิน นักท่องเที่ยวก็พากันกลับ เพราะเดินไม่ไหว แต่เรากับสามีเอาจนคุ้มค่ะ เดินต่อสิคะ รออะไร เดินข้ามเขาไปทั้งหมดสามลูกยาวๆ ไกด์ถึงขั้นเอ่ยปากชมบอกเรานี่อึดมากค่า..เดินได้ค่ะ อากาศดี ธรรมชาติสวย เราก็ไปถึงจุดหมายทานข้าวเที่ยงกัน แล้วก็เดินกลับ…ม่ายค่า ไม่ไหว นั่งรถค่ะ นั่งรถ พอถึงที่พัก ไกด์ก็ถามเราว่าอยากไปฟาซิปังไหม เราก็บอกอยากไป นางก็เลยบอกจะพาไป ไม่คิดเงิน หลังจากแยกกันเราก็ไปอาบน้ำ แล้วลงมาเดินเล่น ย่านนั้นเป็นย่านท่องเที่ยวอยู่แล้วก็จะมีร้านอาหารมากมาย และมีถนนคนเดิน ก็จะมีชาวดอยนำของมาขายมากมาย เราก็ไปทานอาหาร ทายสิคะเราทานอะไรกัน มาม่าค่า มาม่าทรงเครื่องเวียดนาม คล้ายๆจิ้มจุ่มค่ะ ก็ใช้ได้อยู่ จากนั้นก็ไปกินไวน์ร้อนกัน สวนสามีทานเบียร์ค่ะ บรรยากาศจะเป็นหนาวๆ ชื้นๆค่ะ พิกัด : ซาปา บรรยากาศถ่ายจากที่พักในซาปา (Sapa)ร้านค้าในย่านนั้น มีภาษาไทยด้วยน้า…เส้นทางขึ้นเขาลงห้วยไกล และทรหดที่แท้ทรูพิกัด: หมู่บ้านกั๊ต กั๊ตถึงจุดหมายแรกหมู่บ้านกั๊ต กั๊ต (Cat Cat village) แล้วค่ะ ปาดเหงื่อไปหนึ่งนาขี้นบันไดค่ะ เป็นชั้นๆ เลย วิวสวย อากาศดี๊ดี พิกัด : น้ำตกสีเงินถึงแล้วค่ะ น้ำตกสีเงิน วันรุ่งขึ้นไกด์ก็มารับที่โรงแรม พาชมรอบๆ ย่านแถวนั้น แล้วก็พาขึ้นแท็กซี่ไปที่ฟานซีปังกันค่ะ ไปถึงเราก็ไปซื้อตั๋วขึ้นกระเช้าค่ะ คือกระเช้าใหญ่มากๆค่ะ นั่งได้หลายคน เพื่อขึ้นไปบนยอดของฟานซีปังสูงๆ ใช้เวลาร่วมชั่วโมงกว่าจะถึงค่ะ พอไปถึงข้างบนก็จะมีฝนตก ครึ้มเปียกแฉะค่ะ แต่ก่อนหน้านี้คุยกับนักท่องเที่ยวไทย เขาบอกเขาเพิ่งไปมา ฟ้าเปิดถ่ายภาพสวยมากค่ะ แต่เรามาดูค่ะทุกคน มืดครึ้ม ลมแรงมาก จึงถ่ายรูปแชะ สองแชะ แล้วก็ลงจากยอดค่ะ (เขาขนานนามที่นี่ว่าเป็นหลังคาแห่งอินโดจีนเชียวนะคะ สูงมากๆ ค่ะ)พิกัด: ฟานซีปังขึ้นกระเช้ามาถึงยอดฟานซีปังแล้วค่ะ แต่ยังไม่ใช่ยอดจริงๆ นะคะ ต้องเดินขึ้นไปอีกค่ะแบร่… ยอดจริงอยู่นี่ค่ะ บรรยายกาศไม่เป็นใจนักค่ะ ฟ้าไม่เปิดค่ะ จากนั้นเราก็กลับโรงแรมเพื่อเตรียมตัวกลับฮานอยค่ะ เราก็กลับก็เป็นช่วงเย็นๆ ค่ะ ลงยาวถึงสนามบินเลยค่ะ เราก็ไปนอนรอที่สนามบิน เพื่อรอขึ้นเครื่อง คราวนี้ไม่ตกเครื่องนะคะ ทริปจบ แต่เรื่องวุ่นๆ ยังไม่จบนะคะ ตอนลงจากรถบัสนั้น สามีอิฉันดันลืมกล้อง DSLR ราคา 20,000++บาท ไว้บนรถค่า เดินทะเลาะกันไปถึงสนามบินไปยันกลับถึงเลยไทยค่ะ ยังๆค่ะ ยังไม่จบ ในความโชคไม่ดีนั้น เรายังโชคดีอยู่บ้าง คนไทยที่ไปเที่ยวที่นั้น ที่นั่งรถบัสคันเดียวกันกับเรานั้นได้เก็บไว้ให้ แล้วก็ค้นหาเอกสารต่างๆในกระเป๋ากล้องค่ะ จนเจอจากใบเสร็จที่ซื้อแพคเกจเที่ยวกับโรงแรมค่ะ นำไปหาในเฟชบุ๊คจนเจอ และติดต่อมาทางสามีของเรา เพื่อจะนำกล้องมาคืนค่ะ โล่งอก เฮ้อ…นี่ก็เป็นเรื่องราวการเที่ยวเวียดนามของเรากับสามี (ทั้งสนุก ทั้งลุ้น ทั้งหวาดเสียว วุ่นจนนาทีสุดท้าย แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีค่ะ ใครอยากเปิดประสบการณ์ก็แนะนำนะคะ)ข้อแนะนำเล็กๆน้อยๆ จากเราการแลกเงิน ควรแลกเงินไทย เป็นสกุลดอลล่าก่อน ค่อยแลกเป็นสกุลเงินของเวียดนามนะคะ จะได้มากกว่า แลกสกุลเงินไทย เป็นสกุลเงินเวียดนามโดยตรงถ้าอยากถึงที่พักเร็ว ก็ให้รถโรงแรมมารับเถอะค่ะ ( การเดินทางไปโรงแรมเองถูกกว่าก็จริง แต่วุ่นวาย และเหนื่อยมาก ) ก็ลองชั่งใจดูว่าจะไปแบบไหนนะคะควรซื้อซิมตั้งแต่ที่สนามบินค่ะ หากต้องติดต่อสื่อสาร เพราะถ้าออกจากสนามบินแล้วหาซื้อยากมากๆค่ะคนเวียดนามไม่ได้พูดภาษาอังกฤษได้ทุกคน โดยเฉพาะชาวบ้าน ตาสีตาสาค่ะ ดูเวลาขึ้นเครื่องให้ดีนะคะ จะได้ไม่ตกเครื่อง และไม่เสียเงินหลายต่อ*รวมๆ ค่าใช้จ่าย 3 วัน 2 คืน สองคน หมดไป 20,000++ บาท (ค่าตั๋วใหม่ที่ตกเครื่องในไทย ราวๆ 5,000บาท) ถ้าไม่รวมค่าตั๋วที่ต้องซื้อใหม่ค่าใช้จ่ายก็น่าจะราวๆ 15,000++ บาทภาพถ่ายทั้งหมดโดยนักเขียนวันลาเหลือใช่ไหม อยากไปเที่ยวไหนหรือเปล่า? หาข้อมูลที่เที่ยวสุดปังได้ที่ App TrueID โหลดเลย ฟรี !