ดอยป่าแป๋ หรือหมู่บ้านป่าแป๋ตั้งอยู่ในเขตตำบลป่าพลู อำเภอบ้านโฮ่ง จังหวัดลำพูน ผมเคยไปเข้าค่ายลูกเสือที่บ้านป่าแป๋สมัยอยู่ ป.5 (2543) ต้องเดินเท้าจากน้ำตกวังหลวงขึ้นไปบนหมู่บ้าน 9 กิโลเมตร ขอบอกก่อนว่าสมัยนั้น รถยนต์ยังขึ้นไม่ได้ ทางแคบมาก บางช่วงก็เป็นเหวลึก ถ้าจะใช้รถมอเตอร์ไซค์ก็ต้องยี่ห้อฮอนด้าดรีมเท่านั้น ระหว่างทางก็ได้สัมผัสธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะต้นสนเกี๊ยะเยอะมาก มีครูท่านหนึ่งคิดพิเรนอยากจะสาธิตการเผาเกี๊ยะให้นักเรียนดู เอาไฟแช็คไปจุดที่ต้นสน ไฟลุกไหม้ต้นสนทั้งต้น ช่วยกับดับไฟแทบไม่ทัน ถ้าช้าอีกนิดไฟคงลามไปทั่วดอยแน่ๆ ก่อนจะถึงหมู่บ้านป่าแป๋ หมู่ลูกเสือของผมพากันเดินหลงเข้าไปในป่าช้า กว่าจะรู้ตัวก็ตอนพบไม้กางเขนมากมายปักอยู่บนพื้นดิน วิ่งหนีออกป่าช้ากันแทบไม่ทัน พอไปถึงที่พักคือโรงเรียนบ้านป่าแป๋ ก็เจอกับอะไรที่เซอร์ไพรส์มาก ห้องน้ำไม่มี!!! อยากเข้าห้องน้ำต้องเข้าไปในป่าหลังโรงเรียน ข้อสำคัญต้องพกจอบหรือเสียมไปด้วยสำหรับขุดและถมเมื่อเสร็จธุระ ณ เวลานั้นไม่มีคำว่าอายแล้วครับ ห้ามไฟไม่ให้มีควัน ห้ามตะวันไม่ให้ส่องแสง ยังง่ายกว่าห้ามไม่ให้อุจจาระเสียอีก และก็อย่างว่าครับ สมัยผมมันไม่ใช่เหมือนลูกเสือสมัยนี้ ที่เวลาทานข้าวก็มีแม่ครัวจัดหาให้ สบายอย่างกะไปเที่ยวตากอากาศ พวกผมต้องพกหม้อพกไห กะปิน้ำปลาขิงข่าตะไคร้ฯลฯ แบกขึ้นไปด้วย แล้วกลุ่มผมก็ไม่เหมือนเขาด้วยสิ เมนูอาหารมีตั้งเยอะแยะไม่เอา จะกินยำไก่ ก็เลยต้องมัดไก่เป็นๆใส่กระสอบแบกขึ้นมาด้วย แต่ตอนทำอาหารผมไม่ได้เป็นคนฆ่าไก่หรอกนะ กลุ่มผมมีเพชรฆาตประจำกลุ่มอยู่แล้ว แถมฝีมือยำไก่ของเพื่อนก็ไม่ธรรมดาด้วยสิ มื้อนี้ก็เลยสบายไปเลยเรา ปูเสื่อรอทานอย่างเดียว หลังจากทานข้าวเสร็จก็มีประชุมกองนัดหมายกิจกรรมในวันพรุ่งนี้ ซึ่งเป็นไฮไลท์ของงานนะแหละ เดินทางไกลไปดอยช้าง ดอยที่สูงที่สุดในจังหวัดลำพูน! เดินขึ้นมาจากข้างล่าง 9 กม. ยังไม่ใช่การเดินทางไกลอีกเหรอเนี่ยยยยยย เพลียจริงๆ คืนนี้พวกเราหลับกันเป็นตาย ไม่ใช่อะไรหรอก ที่นี่ไม่มีไฟฟ้า ใครไม่หลับ เดี๋ยวเกิดปวดอุจจาระขึ้นมาก็ซวยละสิ และแล้วฟ้าสางอันสดใสก็มาถึง ขอตัดภาพไปที่การเดินทางไปดอยช้างเลยละกัน หลังจากที่ทุกกลุ่มพร้อมแล้ว ครูฝึกก็ปล่อยพวกเราเดินแถวออกไปที่ละกลุ่ม ผมนี่ยังปวดเท้าไม่หายเลย แต่ก็เอาเถอะ ครั้งหนึ่งในชีวิตจะได้ขึ้นไปยืนอยู่บนจุดที่สูงที่สุดในจังหวัดลำพูน ก่อนไปครูฝึกก็ชี้แจงว่า ให้เดินไปตามลูกศรเท่านั้น ตรงไหนที่มีสัญลักษณ์กากบาท ห้ามเข้าไปเด็ดขาด ระหว่างทาง ด้วยที่ผมเป็นคนที่อารมณ์ดีมีความเป็นศิลปินสูง ก็เลยผิวปากไปด้วย เสือกมีเพื่อนคนหนึ่งทักขึ้นมาว่า ผิวปากในป่าไม่ดีนะ ผีจะสับทางให้หลงได้ ผมคิดในใจจะหลงก็เพราะปากมรึงนี่แหละ และแล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นจริงๆครับ หลงป่า!!! คือเดินไปทางไหนก็มีแต่เครื่องหมายกากบาท กลุ่มพวกผมต้องเดินย้อนไปย้อนมาหลายรอบจนหลงป่าในที่สุด เซ็งจริงๆ สรุปเป็นเพราะใครที่ทำให้หลงป่า แต่ก็นับว่าโชคดีสุดท้ายครูฝึกก็มาตามหาจนเจอ พวกผมเดินไปจนถึงดอยช้าง มันเป็นอะไรที่ดูตื่นตาตื่นใจมาก ด้วยรูปร่างลักษณะของภูเขาหินที่ดูแปลกๆ ตั้งตระหง่านโทนโท่อยู่สองลูกติดกัน จินตนาการว่าเขาลูกด้านหน้าเป็นหัวช้าง ด้านหลังเป็นตัวช้าง แล้วจะรออะไรล่ะครับ เดินไปให้ถึงจุดสูงสุดสิ จุดเสียวมันอยู่ตรงนี้แหละ ตรงสันคอช้าง จุดเชื่อมระหว่างเขาทั้งสองลูก มันแคบมาก มองซ้ายขวาก็นรกอเวจีดีๆนี่เอง ตกลงไปก็เตรียมไปเกิดใหม่ได้เลยครับ แล้วเอาไงต่อล่ะ มาเกือบถึงที่ละ คลานขึ้นไปสิครับ ถ้ามันจะตกก็ให้มันรู้ไป และแล้วครั้งหนึ่งในชีวิตของผมก็มาถึงจุดสูงสุดในจังหวัดลำพูนจนได้ครับ ภูมิใจจริง ๆ บรรยากาศโดยรอบนั้น บอกเลยว่าสวยเอามากๆ ประมาณว่าอยู่ต่างประเทศเลยแหละ เห็นวิวทิวทัศน์อำเภอบ้านโฮ่งได้ทั่วอำเภอเลยครับ และอาจจะเห็นไปถึงเขตอำเภอลี้ด้วย จำไม่ค่อยได้ละ เอาเป็นว่าสวยมากๆก็แล้วกัน ส่วนขากลับนั้นก็จะไม่ขอเล่าละ ก็คลานกลับเหมือนเดิมนะแหละ ตัดตอนไปที่ค่ายลูกเสือเลยละกัน กลางคืนมีแสดงรอบกองไฟ กลุ่มผมได้รับมอบหมายให้ไปทำพวงมาลัย ในใจก็คิดว่าสบายสุดๆแล้วล่ะ ก็สบายจริงๆนะแหละสำหรับเพื่อนคนอื่นๆนะ ส่วนผมนะเหรอ ก็สบายในเบื้องต้น แต่ดอกไม้เจ้ากรรมนะสิ ดอกอะไรก็ไม่รู้ มันสวยล่อตาล่อใจเหลือเกิน ก็เลยเด็ดลงมา โอ้แม่เจ้า!! คันหาสวรรค์วิมานอะไรไม่ได้เลย สรุปว่าคืนนั้นผมก็ต้องทาคารามายทั้งตัว เข็ดไปอีกนานกับพวกดอกสวยๆงามๆ อย่าได้ไปหลงเชยชมเชียว อสรพิษชัดๆ ในวันรุ่งขึ้นเก็บสัมภาระ เดินทางลงกลับบ้าน สรุปการมาเข้าค่ายลูกเสือครั้งนี้ได้เดินเท้าเปล่า 28 กิโลเมตร!!!! (เดินขึ้น 9 กม. เดินลง 9 กม. จากค่ายไปดอยช้าง 5 กม. และจากดอยช้างไปค่าย 5 กม.) ปัจจุบันดอยป่าแป๋สามารถเดินทางขึ้นไปได้ง่ายขึ้น เนื่องจากทางองค์การบริหารส่วนจังหวัดลำพูนและหน่วยงานท้องถิ่นได้พัฒนาหมู่บ้านแห่งนี้ให้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ด้านบนนอกจากธรรมชาติที่สวยงามแล้ว ยังมีวิถีชีวิตของชาวบ้านให้ได้เชยชมกันโดยเฉพาะด้านการทอผ้าพื้นเมืองชาวเขา และยังมีร้านกาแฟที่ชาวบ้านปลูกและคั่วทำเองรสชาติหอมกรุ่นไม่เบา สามารถไปพักผ่อนกางเต้นท์หรือพักแบบโฮมสเตย์ชาวเขาได้ หากมีโอกาสก็ลองไปเที่ยวดูได้นะครับ ติดต่อประสานงานการเดินทางได้ที่คุณนิรันดร์ บุญเป็ง ผู้ใหญ่บ้าน โทร. 08-5865-3416