"คุยโวหลังเที่ยว" [ มีคนชวนแต่ไม่มีใครพาไป วันนี้ผมขอเล่าประสบการณ์ไปเที่ยวภูกระดึงฉบับไม่มีคนชวน 3 วัน 2 คืน ] หลายคนแนะนำว่าภูกระดึงควรเป็นเส้นทางเดินป่าแรกที่ต้องไปเดิน และหลายคนชวนผมไปพอใกล้วันเดินทางกลับไม่ว่างสะอย่างนั้น ครั้งนี้เลยลองวางแผนเดินทางเองกับแฟนสองคน จองตั๋วรถทัวร์ไปกลับผ่านระบบออนไลน์ จองสถานที่กางเต็นท์บนภูกระดึงผ่านระบบออนไลน์ ออกเดินทางจากท่ารถหมอชิต2 เราเผื่อเวลาทานข้าวและเตรียมตัวก่อนขึ้นรถครึ่งชั่วโมง รถออกตรงเวลาดีไม่ผิดเพี้ยน หลับยาวจนถึงจุดจอดรถผานกเค้า จุดจอดรถทัวร์ก่อนขึ้นภูระดึง ร้านเจ๊กิมจุดพักนักเดินทาง เราถึงเวลา 4:30 น. ออกเดินทางจากสถานีหมอชิต2 เวลา 21:00 น. ล้างหน้าแปรงฟัน ทานข้าว สามารถหาของที่จำเป็นได้ที่ร้านเจ๊กิมเลยหากใครลืมเอาอะไรมา ผมเดินไปที่หลังร้านเห็นนักเดินทางบางกลุ่มกำลังละหมาด นอนพักผ่อน และเตรียมของบนโต๊ะตัวใหญ่ที่เตรียมไว้รองรับนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะ เป็นสถานที่รองรับนักท่องเที่ยวขาประจำ และนักท่องเที่ยวขาจรได้เป็นอย่างดี อีกทั้งภายในร้านมีเสียงประกาศจากลำโพงเปิดวนลูป บอกถึงสิ่งที่ต้องเตรียมตัวก่อนขึ้นภูกระดึง ทุกอย่างชัดเจนมากคอยฟังให้ดี เวลา 5:00 น. เริ่มมีกลุ่มนักเดินทางขึ้นรถแดงที่จอดอยู่ข้างร้าน เดินทางต่อไปที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูกระดึง เข้าไปตรวจสอบรายการที่เราจอง และซื้อประกันอุบัติเหตุกับเจ้าหน้าที่ตามช่องที่ระบุไว้ด้านบนช่องทำการ ผมตัดสินใจก่อนถึงเชิงเขาบอกกับแฟน “พี่ว่าเราแบกเป้ขึ้นภูกันดีกว่า มันให้ความรู้สึกมาถึงดี” ตั้งแต่ก้าวแรกที่ไต่เนินชันก็หวังว่าจะเจอพื้นราบให้เดินบ้าง ซำแฮกมีพื้นที่ราบอยู่ระยะหนึ่งกว่าจะเจอพื้นราบได้ทำผมหยุดพักปล่อยอากาศออกจากปอดยาว พักชมวิวตามไหล่ทางไปหลายครั้ง เมื่อถึงซำแฮกหาพื้นที่วางเป้ที่แบกมาลงวางข้างก้อนหินขนาดพอดีสองคนนั่ง แล้วไปลองอย่างที่ใครเขาว่ากันว่าแตงโมที่นี่หวานมาก และแดงมะนาวโซดาทำให้ใจชื้นขึ้น บอกตามตรงครับไม่ผิดหวังกับความเหนื่อย และเสียเหงื่อ ฮ่าๆ เป็นสองสิ่งที่เพิ่มกำลังกายและกำลังใจให้เราสองคนเดินกันต่ สลับกระเป๋าให้แฟนสะพายลองดู “หากจะชอบก็คงชอบ แต่ถ้าไม่ชอบก็คงจะไม่แบกอีกเลย” ผมคิดตอนที่ให้แฟนแบกกระเป๋าแทน เราต้องเดินขึ้นเนินชันตลอดระยะทางกว่าจะถึงซำถัดไป เป็นเวลาที่ผมได้ถ่ายภาพสักทีหลังจากปลดความหนักออกจากบ่า ความสวยงามตามทางทำให้ผมหยุดถ่ายภาพเป็นระยะๆ ธรรมชาติ ผู้คน และบทสนทนาอันขบขัน “อีกนิดก็ถึงซำถัดไปแล้วครับน้อง” ส่งยิ้มให้กันแล้วก้าวขาขึ้นเนินต่อไป บทสนทนาที่ว่า “ใกล้ถึงแล้ว อีกไม่ไกลหรอก” ราวกับว่าเป็นคำโกหก เพราะสำหรับคนเดินขึ้นนั้นเป็นระยะเวลาที่แสนจะยาวนานเหลือเกิน 12:30 น. ผมมองนาฬิกาเสียงจากพี่ลูกหาบก็ถามมาว่า “กี่โมงแล้วครับ” 12:30 น. แล้วครับผมตอบกลับ เดินกี่โมงถึงครับพี่กว่าจะถึงยอด “อีกสองชั่วโมงก็ถึงแล้วครับ แต่ถ้าตัวเปล่าๆ ก็อีกชั่วโมงได้ ค่อยๆ เดินไป” พี่ลูกหาบตอบกลับมา พี่แกแบกของอยู่บนบ่า 70 กิโลกรัมหลังจากที่เราได้คุยกันนิดหน่อย “ถึงซำแคร่แล้ว ซำสุดท้ายแล้ว พักให้หายเหนื่อย ทานน้ำเย็นๆ ทานไอศกรีม แตงโมหวานๆ ให้ชื่นใจก่อน จ้า” เสียงจากแม่ค้าในระแวกซำแคร่ ซำสุดท้ายที่ควรพักให้หายเหนื่อยก่อนถึงยอดภูกระดึง ผมกับแฟนนั่งบริเวณใกล้กับจุดพักของพี่ลูกหาบ เรามองด้วยความแปลกใจว่าน้ำหนักมากกว่าเราหลายเท่า เขายังเดินตามกวดหลังเรามาแบบติดๆ จะสุดยอดกันไปไหน นี่คงจะเป็นอย่างที่นักวิทยาศาสตร์กล่าวกันว่าวิวัฒนาการของมนุษย์มีไม่รู้จบ “บันไดคือความทรมานในความคิดผม มันทำให้ผมขยาดบันไดเลยทีเดียวหลังกลับมาถึงที่พัก” แต่สำหรับลูกหาบที่เดินกันประจำดูจะเป็นเรื่องง่ายๆ สำหรับพวกเขา ถึงยอดภูกระดึงที่สุดของความโล่งใจ สูดอากาศเข้าเต็มปอดแล้วขอถ่ายภาพคู่กับป้ายสะหน่อย เดินต่อไปที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวางอีกระยะหนึ่ง อุปกรณ์เรายังไม่พร้อมมากนัก เช่าอุปกรณ์เพิ่มที่หน้าเคาน์เตอร์กับเจ้าหน้าที่ แผ่นรองนอน และหมอน คือสิ่งที่ผมเช่าเพิ่ม เราเลือกทำเลกางเต็นท์ที่คิดว่าจะเจอทากน้อยที่สุดเป็นความหวังว่ามันจะน้อยนะครับ กางเต็นท์กลางแสงแดดอ่อนๆ ระหว่างที่เมฆบดบังแสงจากพระอาทิตย์ช่วงบ่ายสองโมงครึ่ง เสร็จจากกางเต็นท์เดินหาร้านค้าทานอาหารมื้อเย็น ราคาไม่แพงมีเมนูอาหารให้เลือกอยู่มากและหลายร้าน แต่น้ำเปล่าราคาค่อนข้างสูงกว่าปกติอยู่บ้างแต่เข้าใจได้เพราะกว่าจะแบกน้ำขึ้นไปถึงร้านก็เสียเหงื่อกันไปหลายหยด หนังท้องอิ่มตึงหนังตาก็เริ่มหย่อน ด้วยความเหนื่อยล้าเรางีบหลับพักรอไปดูพระอาทิตย์ตกที่ผาหมากดูกแต่ที่ไหนได้หลับยาวตื่นมาแสงก็หายไปสะแล้ว เรารีบอาบน้ำเข้านอนเพื่อหวังจะตื่นเช้าไปดูพระอาทิตย์ขึ้นตามเสียงประกาศบอกของเจ้าหน้าที่ นาฬิกาปลุกอีกทีตอนตีสี่ครึ่ง แต่ตื่นอีกทีตอนตีห้าครึ่ง สรุปไม่ได้ดูทั้งพระอาทิตย์ตกและพระอาทิตย์ขึ้น ฮ่าๆ เราก็ปลอบใจแฟนไปว่า “ไว้พรุ่งนี้ค่อยตื่นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นก็ยังทัน ก่อนเรากลับบ้าน ส่วนพระอาทิตย์ตก เดี๋ยวเราไปดูกันเย็นนี้ กินข้าวเช้า และบริการชาอุ่นๆ ฟรีจากร้านข้าวที่เราไปทานกัน เพิ่มพลังงานในร่างกายเป็นอย่างดี และออกเดินทาง ตอนนี้แหละครับช่วงสับสนเส้นทาง แผนผมคือเริ่มเส้นทางน้ำตกแรกที่น้ำตกวังกวาง แล้วต่อไปที่น้ำตกตามเส้นทาง แต่ผมยืนดูแผนที่จากป้ายขนาดใหญ่ของอุทยานอยู่สักพัก แล้วก็ตกลงปลงใจเดินตามทางไปพร้อมกับกลุ่มนักเดินทางที่ตามผมมาเช่นกัน ผมก็เลยค่อนข้างมันใจว่าถูกทางแล้วหละ จนพบเข้ากับลานกว้างที่มีพระประดิษฐานอยู่และมีกระดิ่งระฆังรายล้อม น้ำตกแรกที่พบคือ น้ำตกถ้ำใหญ่ “อ้าวเห้ย! ไม่เหมือนที่คิดไว้” แต่ความสวยงามของสถานที่ ณ เวลานั้น ผู้คนที่ตะลึงยืนถ่ายภาพคู่กับน้ำตก ถือใบเมเบิลสีแดงที่หล่นลงมาอยู่ตามพื้น ทำให้เราสนุกกับบรรยากาศได้อย่างไม่สะดุด เราเดินตามลูกศรไปที่น้ำตกถัดไป ผ่านน้ำตกหลายที่ ลำธารเล็กๆ น้ำใสมากมองเห็นถึงพื้นด้านล่าง ทำให้นึกถึงกลอนวรรคหนึ่งที่สุนทรภู่แก้ให้กับ ร.3 “น้ำใสไหลเย็นเห็นตัวปลา แหวกว่ายปทุมมาอยู่ไหวๆ” ระหว่างทางเดินไปน้ำตกถัดไปเส้นทางเดินที่มีแค่ผมกับแฟนมันเหงาๆ ยังพอมีเสียงสัตว์ร้องอยู่ไกลๆ คลับคล้ายว่าจะเป็นลิงจำพวกหนึ่ง เดินต่อไปตามเส้นทางเสียงยิ่งชัดขึ้นเหมือนกับเดินไปหามัน ทันใดนั้นก็พบเข้ากับคนที่เรานั่งรถแดงมาด้วยในตอนเช้าเข้าอุทยาน “เขาบอกกับเราว่าถ้าเดินย้อนกลับไปทางนี้ จะกลับไปที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว” ผมกับแฟนเราคุยกันว่าเดินไปเก็บน้ำตกให้หมดเถอะไหนๆ ก็มากันถึงกลางทางขนาดนี้แล้ว เราเดินไปไม่ถึงผาหล่มสักจากการคำนวณระยะทางแล้วน่าจะถึงค่ำพอดี ผมเลยตัดสินใจเดินจากสระอโนดาต ตัดเส้นทางกลางป่ามาที่ผาเหยียบเมฆเราเป็นกลุ่มสุดท้ายที่มาจากเส้นทางกลางป่าระหว่างทางเต็มไปด้วยร่องรอยเท้าสัตว์ และด่านสัตว์ขนาดเล็ก แฟนผมตื่นเต้นที่สุดไม่ใช่ว่าดีใจที่จะได้เจอสัตว์นะครับ แต่กลัวที่จะได้เจอเจ้าของรอยเท้าสะมากกว่า เราเดินจนถึงผาเหยียบเมฆ และเดินตามเส้นทางผาไปเรื่อยๆ จนถึงผาหมากดูกรอดูพระอาทิตย์ตกดิน แต่แล้วกำแพงเมฆอันใหญ่ยักบดบังแสงสุดท้ายของวัน เหลือแสงสีเหลืองรำไรเพียงเท่านั้น เราก็นั่งชมพร้อมกับคนอื่นๆ ที่มารอก่อนหน้าแล้ว ไม่มีใครลุกหนีหายไปไหน อย่างน้อยที่สุดบรรยากาศของการชมพระอาทิตย์ตกดินพร้อมกับผู้คนมากหน้าหลายตาบนภูกระดึงก็เป็นบรรยากาศที่น่าจดจำ แสงสีส้มระหว่างทางที่เดินกลับอยู่ปลายเมฆปลอบใจเราเบาๆ พร้อมเพื่อนร่วมเดินทางที่กำลังกลับที่พัก เราเดินหยอกล้อคุยกันระหว่างทางไปเติมน้ำใส่ขวดที่ตู้กดน้ำข้างศูนย์บริการนักท่องเที่ยว บางครั้งที่เราพูดคุยกันควันน้อยๆ ก็ลอยออกมาตามประโยคที่กล่าว มันทำให้เราตื่นเต้นกันมากทีเดียว และเมื่อผมสบตามองท้องฟ้ายามราตรีทำให้คิดถึงท่อนหนึ่งในหนังสือ 1Q84 “เราแหงนหน้ามองพระจันทร์ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่กัน พอดำเนินชีวิตในเมื่องใหญ่อันรีบเร่ง ก็เผลอใช้ชีวิตโดยมองแต่ปลายเท้าของตนเองโดยไม่รู้ตัว หลงลืมกระทั่งการปรายตามองท้องฟ้ายามราตรี” ผู้เขียน ฮารูกิ มูราคามิ ชายที่ทำให้ผมรักการอ่าน อากาศตอนเช้ามืดลมพัดกิ่งไม้โบยโบก มาพร้อมอากาศหนาวกระทบผิวกาย เราเดินไปรอชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่นพร้อมกับคนอื่นๆ ที่หลั่งไหลไปพร้อมกัน ไอน้ำควบแน่นเป็นละอองมวลหมอกด้านล่างรวมตัวกันเป็นทะเลหมอกเมื่อมองจากบนหน้าผา แสงอาทิตย์ค่อยๆ ผ่านกำแพงเมฆสูงขนาดใหญ่ออกมาแสงสีเหลืองสาดส่องเป็นทอง ผู้คนต่างยกมือถือออกมาบันทึกลำแสงตอนเช้าเก็บไว้ในเมมโมรี่ความทรงจำเครื่อง บางคนนั่งมองอยู่ไกลๆ เอนพิงต้นไม้กับลมหนาวอ่อนๆ แสงแรกของวันใหม่ที่เติมพลังงานให้สรรพสิ่งได้ตื่นรู้ถึงวันใหม่แล้ว กระแสผู้คนจะนำพาเราไปยังจุดหมาย ไกด์บุ๊ค หรือแนวทางอื่นๆ บนโลกออนไลน์ ผมศึกษาจนมั่นใจแล้วว่าสถานที่จะเหมือนอย่างที่คนอื่นไป และจุดเช็คอินไม่หนีไปไหน ความต่างคือเราออกไปพบเจอกับตัวเอง ไม่เหมือนกับนั่งดูอยู่ที่บ้าน เพราะการเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางนั้นไม่ใช่เกิดขึ้นได้ด้วยกำลังเท้าเพียงอย่างเดียว หากต้องมีกำลังใจเป็นแรงผลักให้เดินต่อไปได้ด้วยAUTHOR / PHOTOGRAPHER: สิณ – กสิณ สนลา (ครีเอเตอร์) อยากไปเที่ยวไหนหรือเปล่า? หาข้อมูลที่เที่ยวสุดปังได้ที่ App TrueID โหลดเลย ฟรี !