ชื่อ “ภูทับเบิก” เป็นคำที่นักท่องเที่ยวยุคนี้รู้จักกันแทบจะทุกคน เพราะหากจะมีสถานที่ใดเป็นตัวเลือกให้ไปเที่ยวได้บ้าง “ภูทับเบิก” มักจะอยู่ในรายชื่อที่เป็นตัวเลือกเสมอ เหมือนยุคก่อนที่คำว่า “ภูกระดึง” เป็นคำยอดฮิตและเป้าหมายสำคัญของนักท่องเที่ยวในยุคก่อนนั่นเอง ปัจจุบันแม้ “ภูกระดึง” จะเป็นแหล่งท่องเที่ยวรุ่นคลาสสิกไปแล้ว ผมก็เชื่อว่าน้องใหม่อย่าง “ภูทับเบิก” คงจะได้ตามรอยไปในไม่ช้า แม้จะยังเป็นสถานที่ในฝันและมีเสน่ห์ชวนหลงใหลให้ไปเยือนสักครั้งของใครบางคนก็ตาม จุดขายสำคัญของภูทับเบิก คือ ทะเหมอกและไร่กะหล่ำปลี ที่ชาวบ้านปลูกทั่วไปหมดทั้งหุบเขาเชิงเขาและยอดเขา หากใครได้ไปเที่ยวและได้ถ่าย 2 ฉากนี้เก็บไว้ได้ ก็ไม่มีอะไรค้างคาใจหรือต้องกลับไปซ่อมใหม่แต่อย่างใด แต่รู้ไหมครับว่า นั่นคือ ไฮท์ไลท์ที่เป็นจุดขายสำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไปเท่านั้น และที่สำคัญต้องไปในช่วงฤดูหนาวหรือเทศกาลท่องเที่ยว จึงจะมีโอกาสสมปรารถนา ซึ่งจะต้องฝ่าฟันแย่งชิงพื้นที่กับก้อนนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ที่ใจตรงกันอีกมหาศาล ครั้งนี้ ผมจะเสนอตัวเลือกใหม่ พาไปชมภูทับเบิกในบรรยากาศต้นฤดูฝนราวเดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป เมื่อเมฆฝนมาเยือน ความงดงามแต่แสนจะขี้อายจะค่อย ๆ ปรากฏตัวและเริงระบำอย่างช้า ๆ ให้ได้ชมจนจุใจ ส่วนจะเป็นอะไรนั้น ตามมาเลยครับ ผมเร่งออกเดินทางเพื่อขึ้นไปยัง “ภูทับเบิก” โดยพาหนะส่วนตัว แม้จะรู้สึกหวั่นไหวเล็กน้อยกับ เส้นทางที่คดเคี้ยวลาดชันขึ้นเขาแต่ก็คิดว่าเอาอยู่ หลังจากควบคุมรถไต่ขึ้นเขามาได้ระยะเวลาพอสมควร ก็มาถึงจุดชมวิวที่เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงไม่น่าจะพลาดนั่นคือ ยอดภูทับเบิกนั่นเอง บนจุดนี้จะเห็นวิวโดยรอบเป็นไร่กะหล่ำปลีแซมด้วยรีสอร์ทเล็ก ๆ กระจัดกระจายไปทั่วยอดเขาและหุบเขาเบื้องล่าง หลังจากอุดหนุนดอกกระดาษที่เด็กน้อยชาวม้งมายื่นขายไปกำใหญ่ พร้อมกับถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกับน้อง ๆ เพื่อนในทริปก็ชี้ให้ดูก้อนเมฆที่กำลังลอยขึ้นจากพื้นที่ราบลุ่มน้ำป่าสัก พร้อมกับส่งสัญญาณว่า เราต้องไปอยู่ในจุดที่สวยที่สุดของการชมปรากฏการณ์ครั้งนี้ นั่นคือต้องวิ่งรถย้อนกลับไปทางที่ผ่านมา พวกเราจึงรับบึ่งรถไปจุด ๆ นั้นทันทีและเป็นจังหวะดีที่ลมค่อย ๆ พัดจึงทำให้เมฆก้อนนั้นไหลไปเนิบ ๆ ช้า ๆ ในที่สุดเราก็มาถึงจุดที่หมายตาไว้จนได้และทันเวลาพอดี จุดนี้เป็นจุดชมวิวที่อยู่ใกล้กับทับเบิกอินดี้เพียง 100 เมตร ห่างจากด่านภูทับเบิกราว 500 เมตร มีลานหิน บันไดหินเป็นชั้น ๆ และลานหินขนาดใหญ่ให้ถ่ายรูปได้อย่างสะดวก ในที่สุด สิ่งที่เรารอคอยก็ค่อย ๆ ปรากฏโฉมทีละนิด นั่นคือ “เมฆไหลหรือเมฆมังกร” นั่นเอง ก้อนเมฆสีขาวนวลขนาดใหญ่ที่ค่อย ๆ ลอยจากเบื้องล่างซึ่งเป็นแอ่งราบลุ่มน้ำป่าสักของอำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ ไต่เขาขึ้นมาคลุมสยายกลืนกินผืนป่า ถนนที่คดเคี้ยว สวนกะหล่ำ หมู่บ้านชาวเขาและลอยขึ้นมาเรื่อย ๆ จนถึงยอดเขา เป็นภาพที่งดงามอลังการ ดูแล้วผ่อนคลาย สดชื่นและแปลกตามาก ยิ่งมีลมพัดแรงเท่าไหร่ กลุ่มเมฆก็จะยิ่งเคลื่อนตัวเร็วขึ้นพร้อมกับม้วนคลื่นขึ้นลงสวยงามมากขึ้นเท่านั้น หากหมุดหมายครั้งหน้าของการไปภูทับเบิกยังคงเป็นทุ่งกะหล่ำปลีกับทะเลหมอก ผมอยากเชิญชวนให้ลองเปลี่ยนใหม่ ด้วยการไปยืนนิ่ง ๆ ชมเมฆไหลหรือเมฆมังกรในห้วงยามฝนตกใหม่ต้นฤดูฝน เพราะนี่คืออีกหนึ่งไฮท์ไลท์ที่ใครมาภูทับเบิกต้องไม่พลาดครับ การเดินทาง : ตั้งต้นจากแยกด่านภูทับเบิกไปทางยอดทับเบิก ระยะทางประมาณ 500 เมตร อยู่ด้านขวามือ ภาพประกอบโดยผู้เขียน : อนุญาตให้ใช้เพื่อการศึกษาได้ฟรี