ปกติในแต่ละปี เราจะมีทริปใหญ่ ๆ ขึ้นเหนือช่วงหน้าฝน หรือหน้าหนาว แล้วก็ลงใต้ หรือทะเล ในช่วงฤดูร้อน สำหรับเดือนตุลาคม ปีนี้ตั้งใจจะไปถ่ายภาพนาขั้นบันไดบ้านป่าบงเปียง แต่ได้ยินข่าวจากเพื่อน ๆ ว่าช่างภาพไปรวมตัวอยู่นั่นมิใช่น้อย หลังจากถูกเพื่อนป้ายยาว่าเชียงใหม่มีทุ่งไฮเดรนเยีย ซึ่งไม่ต้องเดินทางไกลถึงต่างประเทศ เราก็วางแผนเดินทางทันที เริ่มจากหาวันหยุดยาว สถานที่พัก และจุดที่เราจะเที่ยว ซึ่งเป้าหมายในทริปนี้ ก็คือ "ทุ่งไฮเดรนเยียที่ขุนแปะ อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่" ส่วนเสร็จภาระกิจได้อยู่กับดอกไฮเดรนเยียสมใจแล้ว จะเดินทางไปไหนต่อก็ไม่ว่ากัน คืนแรกเรานอนกันที่ลำพูน วันนี้ฝนตกในบางพื้นที่ ทำให้อากาศโดยรอบเย็นสบาย เราได้ที่พักอยู่ไม่ห่างจากตัวเมืองมาก ค่าพี่พักป้ายข้างถนนบอกว่า 450 บาท แต่เมื่อเข้าไปสอบถามรายละเอียดแล้ว พนักงานต้อนรับก็อธิบายว่า 450 บาท เป็นราคาสำหรับห้องพักของอาคารหลังเดิม ถ้าเป็นอาคารใหม่คืนละ 600 บาท ก็ถือว่าไม่ได้แพงอะไรมากมาย จ่ายเงินบวกค่ามัดจำกุญแจแล้ว เราก็ขนกระเป๋าขึ้นห้องอาบน้ำอาบท่าแล้ว ก็เข้าไปหาอาหารพื้นเมืองใส่ท้องดีกว่า โชคดีชั้นที่ 1 เผอิญเพื่อนชาวลำพูนทักมาว่าอยู่ที่ไหน เดี๋ยวจะพาไปกินข้าว เลยเป็นอันโชคดีว่า มีเจ้าถิ่นพาไปหาที่กินเราก็ไม่ต้องเสี่ยงดวง รอบนี้เพื่อนพาไปกินที่ร้าน "ดาวคะนอง" อาหารที่สั่งมากินได้แก่ ลาบคั่ว แอบหมู ออเดิร์ฟเมือง เอ้อ ที่นี่มีผักพื้นเมือง ชื่อ ผักเซียงตาผัดไข่ รสชาติมัน ๆ เหมือนกินใบเหนียงผัดไข่นั่นหล่ะ งานนี้ลำแต๊ ๆ เจ้า อิ่มหนำสำราญมาก ๆ แล้ว เพื่อนแนะนำว่า ที่วัดพระธาตุหริภุญไชยมีงานบุญออกพรรษา จะมีการประดับโคมไฟ ให้แวะไปชมให้ได้ ไหน ๆ ก็มาแล้ว แวะไหว้พระสะสมแต้มบุญเสียหน่อยก็แล้วกัน ไหว้พระเสร็จ เดินเลียบหน้าวัดย่อยอาหาร และซื้อของฝากแล้ว ก็ขอลากลับไปนอนเพื่อพรุ่งนี้จะไปหาไฮเดรนเยียที่รัก ตื่นเช้า กินของเช้าง่าย ๆ ที่โรงแรม ที่นี่เขามีกาแฟ โอวัลติน แล้วก็ขนมง่าย ๆ ไว้บริการลูกค้า หลังรับเงินประกันค่ากุญแล้วแล้ว เราก็ออกจากที่พัก แต่ไหน ๆ ก็ได้ชื่อว่ามาลำพูนแล้ว ขอแวะวัดป่าพุทธพจน์ หริภุญไชย แวะไหว้พระเป็นที่พอใจแล้วก็เดินทางมุ่งหน้าสู่เวียงเจียงใหม่ โดยใช้ถนนหมายเลข 106 ลำพูน - ป่าซาง เส้นทางนี้บรรยากาศดีไม่น้อยเลยค่ะ บ้านเรือนสวยงาม ถนนไม่กว้างจนเกินไป รถรามีปริมาณไม่มาก จากถนนหมายเลข 106 เราตัดเข้าถนนหมายเลข 1156 ป่าซาง-สบทา แล้วไปถนนหมายเลข 4032 ไปจรดถนนหมายเลข 116 แล้วเลี้ยวเข้าสู่ถนน 108 เชียงใหม่-จอมทอง จากวัดพระธาตุจอมทอง ไปยังขุนแปะ ใช้เวลาประมาณชั่วโมงนิด ๆ เมื่อขับรถออกจากอำเภอจอมทองไปขุนแปะจะมีทางแยกขวามือ เข้าสู่ถนนหมายเลข 3033 จากแยกถนนใหญ่ไปขุนแปะ เส้นทางค่อนข้างคดเคี้ยว พอได้ตื่นเต้นเป็นระยะ ๆ เมื่อมาถึงขุนแปะแล้ว ก็หาที่พัก เอ้อ ที่พักที่นี่จะเขียนว่าเป็นโฮมเสตย์แต่ส่วนใหญ่จะเป็นที่พักที่สร้างขึ้นใหม่แยกกับที่พักของชาวบ้าน เห็นบางแห่งมีป้ายบอกว่า สามารถกางเต้นท์ได้ แต่ว่าช่วงที่เราไปนั้นมันเป็นช่วงปลายฝนต้นหนาว ไว้ใจฟ้าฝนไม่ได้ ยิ่งชาวบ้านบอกกับเราว่า เมื่อวันก่อนฝนตกหนักทางขึ้นจะเละ ๆ หน่อย เราจอดรถฝากไว้บริเวณที่จุดบริการนักท่องเที่ยว เพื่อติดต่อที่พัก (เราไม่ได้ติดต่อล่วงหน้า) โชคดีที่มีที่พักว่าง ๆ หลายหลัง อาจจะเพราะช่วงที่ไปเป็นวันธรรมดาไม่ตรงกับช่วงหยุดยาว ทำให้มีนักท่องเที่ยวไม่หนาแน่นเท่าใดนัก เมื่อหาที่พักได้แล้วเราก็เริ่มสอบถามชาวบ้านว่ามีที่ไหนพอจะหาของกินได้บ้าง ชาวบ้านก็แนะนำให้ไปกินข้าวร้านขายของในหมู่บ้าน ซึ่งไม่ห่างจากจุดบริการนักท่องเที่ยวเท่าใดนัก ระหว่างนั่งกินขนมจีนเส้นอ้วน ๆ เหมือนเส้นก๋วยจั๊บ ลูกสาวเจ้าของร้านก็ขับรถมาหา สอบถามเราเรื่องที่พักว่าจะเข้าพักช่วงไหนอะไรยังไง มากันกี่คน แล้วก็แนะนำเรื่องสถานที่ท่องเที่ยว คุยกันไปมาเจ้าของที่พักเลยเอารถมอเตอร์ไซด์ให้เรายืมขี่ บอกว่า เที่ยวเสร็จตอนไหนก็เอามาจอดทิ้งไว้ที่ร้านนี่หล่ะ เสียบกุญแจไว้ให้แล้ว เจ้าตัวก็ไปทำธุระสบายใจ ส่วนเราก็ลุยสิคะ รออะไร ตอนเราเข้ามาในบ้านขุนแปะ เป็นป้ายน้ำตกก่อนเข้าหมู่บ้าน เราเลยเลือกที่จะไปดูน้ำตกก่อน แล้วค่อยไปดูดอกไม้ในช่วงบ่าย ๆ ขับรถเข้าป่าเข้าเขา เจอทางโคลนบ้าง ขับเลาะไปเรื่อย จนหลงทางฮ่า ๆ ๆ แต่เป็นการหลงทางที่ดีมาก เพราะสิ่งที่เราเจอคือ "นาขั้นบันได" รวมทั้งการทำการเกษตรของคนที่นี่ด้วย หลังจากหลงทางจนได้เจอนาขั้นบันได และขออนุญาตเจ้าของนาไปถ่ายรูปจนเป็นที่พอใจแล้ว เราก็ขับมอเตอร์ไซต์กลับเพื่อไปชมน้ำตก ขับรถวกไปวนมา มั่วจนเจอน้ำตกจนได้ ตรงที่เราไปชมน้ำตก พบว่าเป็นส่วนหนึ่งของ กฟภ. และมาพบข้อมูลในภายหลังว่า ในปี 2541 PEA ปรับปรุงการจ่ายไฟในพื้นที่บ้านขุนแปะให้มีความมั่นคงด้วยการผลิตไฟฟ้าแบบผสมผสาน โดยการติดตั้งเครื่องกำเนิดไฟฟ้าดีเซลขนาด 56 กิโลวัตต์ และระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 7.3 กิโลวัตต์ เพิ่มเติมจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำขนาด 96 กิโลวัตต์ ทำให้มีกำลังผลิตรวม 159 กิโลวัตต์ เป็นจุดเริ่มต้นของระบบไฟฟ้าแบบ Micro Grid หรือระบบไฟฟ้าขนาดเล็กที่มีแหล่งผลิตไฟฟ้าของตนเองโดยไม่ต้องพึ่งพาระบบไฟฟ้าหลักดีจริงแฮะ และเหนือไปกว่าแผงโซล่าร์ยังมีป่ากระหล่ำปลี และโรสแมรี่ด้วยนะเอ้อ นี่ก็เพิ่งเคยเห็นต้นโรสแมรี่ตัวเป็น ๆ ก็คราวนี้หล่ะ หลังจากขับมอเตอร์ไซด์หลงป่ากว่าจะเจอน้ำตกก็เป็นเวลาบ่ายคล้อยแล้ว ออกจากน้ำตกมา เรายังเจอว่าที่ขุนแปะมีวัดป่าด้วยนะคะ แต่เข้าไปสำรวจแล้วไม่เจอใคร ก็เลยขับรถออกมา และถึงเวลาที่เราจะไปดูดอกไฮเดรเยียกันแล้ว ระหว่างทางขับเลาะไปตามถนน ความดีของการขี่มอเตอร์ไซด์คือ เราสามารถจอดถ่ายรูปตรงไหนที่เราชอบก็ได้ จอดนานแค่ไหนก็ไม่ต้องกังวล ขอบคุณเจ้าของโฮมเสตย์จริงๆ ค่ะ แล้วก็มาถึงไร่ไฮเดรนเยียเสียที ตรงนี้น่าจะเป็นของเอกชน มีเก็บเงินค่าเข้าด้วย มีดอกไม้ให้ยืมถ่ายรูป (มั้ง) เผอิญว่าเราไปไม่สะดวกเลยไม่ได้ยืมของเขามาถ่าย เห็นน้องที่ดูแลสวนเล่าให้ฟังว่าดอกไฮเดรนเยียช่วงนี้จะไม่ค่อยสวยเพราะฝนตกใส่วันก่อนทำให้กลีบดอกช้ำไปนิด เห็นแล้วปลื้มปริ่ม ทำตัวเสมือนเจ้าของสวนเดินตรวจสวน ไฮเดรนเยียที่นี่มีหลากสีมากเลยค่ะ สีแปลก ๆ อย่างในภาพก็มี ชมไฮเดรนจนหน้าไหม้แล้ว ก็แว้นรถกลับที่พัก ระหว่างทางก็อดใจที่จะถ่ายรูปนาขั้นบันไดอีกหลาย ๆ รอบไม่ได้จินตนาการว่าเราเป็นเจ้าของนาก็แล้วกัน แล้วก็ถึงเวลาที่ต้องอาบน้ำก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดินร้องไห้หนักมาก เมื่อเจ้าของรีสอร์ทบอกว่า ที่พักเราอยู่ตรงโน้นนนนนนน เดินขึ้นเขา ไปค่ะ บังเอิญว่าช่วงที่เราไปเนี่ย ที่นี่น่าจะเพิ่งก่อสร้างเสร็จไม่นาน ลานจอดรถ หรือทางที่จะเอารถขึ้นจอดยังไม่เรียบร้อย บวกกับฝนที่เพิ่งตกใหม่ ๆ ทำให้ดินกลายเป็นดินเหนียว ถ้าเอารถขึ้นไปอาจจะเสี่ยงกับการรถติดหล่มก็ได้ เราเลยจอดรถไว้ที่บ้านของเจ้าของรีสอร์ท แล้วช่วยกันแบกหามสัมภาระขึ้นไปที่พัก บ้านสองหลัง มีห้องน้ำในตัว ส่วนน้ำอุ่นนั้นไม่มีเด้อ สรุปว่าวันนี้อาบน้ำเย็นในระดับที่เย็นมากกกกระหว่างทำใจกับการอาบน้ำเย็นขอเดินไปสำรวจพื้นที่ใกล้ ๆ เลยพบว่า เจ้าของที่ดินเขาปลูกอโวคาโดไว้ตั้งหลายต้นแน่ะ เสียดายมันยังไม่สุก ไม่งั้น คงได้เหมาอโวคาโดกลับบ้านด้วย รอบนี้เลยได้แต่เก็บภาพอโวคาโดกลับไป เบื่อ ๆ ก็เดินชมดอกไม้ริมทางไปพลาง ๆ อ่า มีเสาวรสด้วยแฮะ ทำใจกับการอาบน้ำแล้ว ก็นั่งรอข้าวเย็นหล่ะค่ะ อ้อ ลืมบอก ที่นี่ราคาที่พักรวมอาหารเย็น กับอาหารเช้า 600 บาท นอกจากอาหารอะไรแล้ว ในที่พักเจ้าของบ้านยังเตรียมกระติกน้ำร้อน ชา กาแฟ โอวัลติไว้ให้ดื่มตามสบายด้วยค่ะ อ่า ตอนมองขึ้นไปที่พัก กับตอนมองลงมาจากที่พักนี่ มันช่างมีความรู้สึกต่างกันลิบลับริงๆ แล้วอาหารเย็นเราก็มา อาหารง่าย ๆ แกงจืด ผักต้มกับน้ำพริก ความจริงอาหารมีอีกอย่างนะ เขาเอามาให้ไม่ทัน เราถ่ายแค่นี้หล่ะ เสร็จก็ลงมือเลย ตัดภาพมาตอนเช้าเลยแล้วกัน ตอนเช้า ก็ไม่เช้ามากหรอก เราเห็นพระเดินบิณฑบาตอยู่ไกล ๆ เลยวิ่งร้อยคูณร้อยลงไปใส่บาตร หลวงพ่อท่านเมตตาถามไถ่ว่ามาจากไหน จะไปไหนต่อ เรียนท่านว่าเมื่อวานก็ไปที่วัดว่าจะไปแวะทำบุญถวายน้ำปานะ แต่ไม่เห็นใคร ท่านว่า อาตมาอยู่ด้านหลัง กำลังทำงานก่อสร้างฌาปนสถานให้กับชาวบ้านอยู่ เราก็นึกในใจ มิน่าเห็นตู้รับบริจาคว่าร่วมสร้างฌาปนสถานอยู่ที่จุดบริการลูกค้า หลวงพ่อคุยได้สักครู่ ท่านก็บอกว่า มาคราวหน้ามานอนวัดก็ได้นะโยม ไม่เสียเงินหรอก ..ใส่บาตรเสร็จเรียบร้อย เราก็นั่งอิ่มบุญได้ไม่นาน ท้องมันก็เตือนว่านางจะกินบุญอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมีอาหารรองท้องด้วย สักพักน้องเขาก็เอาข้าวต้มมาส่ง กินอิ่มแล้วก็จ่ายเงินค่าที่พักก่อนเก็บของขึ้นรถ ไปยังสถานีต่อไป คือ ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงขุนแปะ ในศูนย์พัฒนาโครงการหลวง แปลงทดสอบสาธิตและส่งเสริมเกษตรกรในการเพาะปลูกพืชผัก ไม้ผล กาแฟ อย่างที่เราเห็นแล้วเก็บภาพได้ก็มี กะหล่ำปลี ผักกาดขาวปลี ผักกาดหอมห่อ คอสสลัด เบบี้คอส กาแฟ เสาวรส อาโวคาโด ส่วนที่ไม่รู้จักก็อีกเยอะแยะมากมาย ดูจากภาพประกอบละกันค่ะโรสแมรี่ก็ปลูกนะจ๊ะเดินถ่ายสวนผักอยู่เพลิน ๆ เสียงคุณแฟนเรียกมาแต่ไกล เธอ ๆ มาดูนี่ ออกจากโครงการ ยังมีจุดให้แวะถ่ายรูปนาขั้นบันได แต่รอบนี้เราถ่ายมุมไกลไปมากแล้ว เลยขอเดินไปดูต้นข้าวระยะใกล้แทน ก่อนที่จะโบกมือลาขุนแปะ ไว้ปีหน้าจะมาใหม่ ภาพประกอบโดยผู้เขียน