ประวัติความเป็นมาของ มหาวิหารโคโลญจ์ Köln Dom / Cologne Cathedral แห่งเยอรมนี ที่สวยสะกดตาคนทั้งโลก มหาวิหารโคโลจน์เป็นวิหารของคริสต์ศาสนา นิกายโรมันคาทอลิค ตั้งอยู่ในเมืองโคโลญจน์ Cologne รัฐนอร์ท-ไรท์เวสท์ฟาเลิร์น North Rhine-Westphalia ประเทศเยอรมนี ถือเป็นสัญลักษณ์ของเมือง ที่โดดเด่นด้วยหอระฆังทรงสูงสองด้าน เป็นมหาวิหารที่มีความสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศเยอรมนี และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก้ UNESCOในปี ค.ศ. 1996 การก่อสร้างมหาวิหารโคโลญจน์ ใช้เวลาดำเนินการถึง 632 ปี เริ่มจากการวางแผนก่อสร้าง การออกแบบ วางโครงสร้างของวิหารตั้งแต่ในปี ค.ศ. 1248 ก่อนที่จะได้ลงมือก่อสร้างจริงในปี ค.ศ. 1520 และเสร็จสมบูรณ์ใน ค.ศ. 1880 สามารถจุดผู้คนได้ถึงสองหมื่นคน แม้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มหาวิหารแห่งนี้จะถูกทำลายจากการทิ้งระเบิดแต่ก็ได้รับการบูรณะให้สวยงามดังเดิม และยังโชคดีที่งานศิลป์หลายชิ้นที่อยู่ภายในไม่ได้รับความเสียหาย ภายในของมหาวิหารโคโลญจน์ ตกแต่งด้วยศิลปะแบบโกธิค งานศิลป์ที่มีคุณค่าทางวัฒนธรรมที่ใช้ประดับตกแต่งมหาวิหารแห่งนี้มีให้เห็นตั้งแต่ภายนอกของ ไม่ว่าจะเป็นงานปูนปั้นที่ประดับที่ประตูทางเข้า เมื่อเราเข้าไปด้านในมหาวิหารเราจะรู้สึกได้ถึงความขลัง ความอลังการ ของวิหารแห่งนี้ แต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุด คือ หน้าต่างที่ประดับด้วยกระจกสี บอกเรื่องราวของศาสนาคริสตร์ หากเรามาในช่วงเวลาที่แดดส่องผ่านกระจกสี จะเห็นแสงสีต่าง ๆ ส่อง ออกมาสวยงามมาก การเดินทางมาที่มหาวิหารโคโลญจน์ ก็ง่ายมากเพราะอยู่ติดกับสถานีรถไฟกลางของเมืองโคโลจน์ ออกจากสถานีรถไฟก็ถึงลานหน้าวิหารแล้วค่ะ ในแต่ละปีจะมีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมมหาวิหารโคโลญจน์เป็นจำนวนมาก ถือเป็นสถานที่ที่มีนักท่องเที่ยวจากทุกมุมโลกมาเยี่ยมชมเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศเยอรมนี ดังนั้นแล้วหากเราต้องการจะมาเที่ยวชมที่นี่แบบที่ไม่ต้องเบียดเสียดกับผู้คน แนะนำให้พักในเมืองโคโลญจน์สักวันหรือสองวันแล้วมาเยี่ยมชมวิหารในเวลาเช้าตรู่ เพราะคนจะน้อยมาก หรือจะพักที่นี่หลาย ๆ วันและใช้เป็นเมืองหลักในการเดินทางไปเที่ยวเมืองอื่นที่อยู่ในแคว้น NRW ก็สะดวก โดยเลือกที่พักที่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟ แล้วเลือกใช้ตั๋วโปรโมชั่นสำหรับการเดินทางไปในแคว้นเดียวกันซึ่งถือว่าประหยัดและคุ้มมาก เรายังสามารถชมวิวของเมืองพร้อมกับมหาวิหารโคโลญจน์จากอีกฝั่งของแม่น้ำ โดยให้เดินข้ามสะพานที่อยู่ติดกับสถานีรถไฟ เราก็จะได้วิวของมหาวิหาร พร้อมสะพานที่เรียกได้ว่ายิ่งใหญ่และอลังการมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตก ฟ้าจะเป็นสีส้มหรือชมพู แต่หลังจากที่ฟ้ามืดแล้วเราก็ยังสามารถชมความงามของมหาวิหารและเมืองโคโลญจน์ได้ เพราะมีการประดับไฟที่สะพานและตัววิหารทำให้เรายังสามารถชมความงามในยามค่ำคืนได้ในอีกบรรยากาศหนึ่ง นอกจากนั้นแล้วหากใครได้มีโอกาสมาเที่ยวเมืองโคโลญจน์ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนถึงช่วงประมาณหนึ่งอาทิตย์ก่อนวันคริสมาสต์ก็จะได้พบกับตลาดคริสมาสต์ที่สวยงามในบรรยากาศยุคกลาง ตลาดคริสมาสต์หลักของเมืองจะจัดที่บริเวณจัตุรัสหน้าวิหาร ซึ่งจะมีมหาวิหารเป็นฉากหลัง เรียกได้ว่าได้บรรยากาศคริสมาสต์ที่ไม่สวยงามและไม่เหมือนใคร ซุ้มร้านค้าจะมีหลังคาเป็นสีแดง และตกแต่งด้วยของประดับและมีของประดับต้นคริสมาสต์ที่เป็นงานฝีมือจำหน่าย ที่พลาดไม่ได้คือไวน์ร้อนที่จะช่วยให้ร่างกายอบอุ่นในช่วงที่อากาศหนาวได้เป็นอย่างดี ในเวลากลางคืนก็จะประดับไฟตกแต่งสวยงามมาก มหาวิหารโคโลญจน์ เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้ทุกวันโดยไม่ต้องเสียค่าเข้าชม เวลาเปิดให้ชมคือ วันจันทร์ ถึงวันเสาร์ ตั้งแต่เวลา 6.00 – 19.30 น. วันอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 13.00-19.30 น. ยกเว้นช่วงที่มีการทำพิธีทางศาสนา หากต้องการขึ้นไปบนหอระฆังก็มีค่าเข้าชม 4 ยูโร และต้องเดินขึ้นบันได 533 ขั้น บนหอระฆังเรายังสามารถชมวิวเมืองโคโลญจน์จากมุมสูงได้ด้วย โดยเปิดให้ชมตั้งแต่เวลา 9.00 น. ถึงเวลาประมาณ 16.00-18.00 น. (ขึ้นอยู่กับเดือนที่เข้าชม) ด้านบนจะมีระฆังที่อยู่มีทั้งหมด 11 ลูก โดยมี 4 ลูกที่เป็นของเก่าตั้งแต่ยุคกลาง เรียกได้ว่าความงามและความยิ่งใหญ่ของมหาวิหารโคโลญจน์มีให้เห็นทั้งด้านนอกที่เป็นวิหารแบบโกธิคที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในตอนบนของทวีปยุโรป งานศิลป์ด้านใน และหอระฆังที่เราสามารถชมเมืองโคโลญจน์ได้ด้วย ที่นี่เป็นอีกสถานที่หนึ่งในประเทศเยอรมนีที่ไม่ควรพลาด ภาพประกอบทั้งหมดโดยผู้เขียน