ภายหลังจากที่ฉันเดินชมรอบๆ วัดพระศรีสรรเพชญ์ ทักทายงูเจ้าที่ หรืองูอะไรก็แล้วแต่ที่มาเข้าฝันเมื่อตอนที่แล้ว ฉันก็เดินทะลุกำแพงแก้วเข้าไปยังพระราชวังหลวง ซึ่งปัจจุบันเหลือเพียงเศษซากฐานอิฐที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสถานที่ตั้งของพระที่นั่งต่างๆ ในพระราชวัง หรือวังหลวง บรรยากาศในช่วงใกล้เที่ยง อากาศร้อนระอุ มองไปข้างหน้ามีแต่เปลวแดดระยิบระยับ ฉันเกือบจะหันหลังกลับไม่เดินต่อ เพราะท้อที่ต้องเดินฝ่าเปลวแดดไปยังซากฐานอิฐที่คำอธิบายตามป้ายก็เลอะเลือนจนมองไม่เห็น แต่ไม่รู้เป็นเพราะอะไร ทำให้ฉันตัดสินใจเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ จากฐานปราสาทหลังนั้น ไปพระที่นั่งหลังนี้ และโดยไม่รู้ตัวว่าอากาศที่ร้อนๆ อยู่นั้นเริ่มผ่อนคลายลง ซึ่งอาจจะเป็นเพราะว่า ใจเราจดจ่ออยู่กับสถานที่ที่เราสนใจตรงหน้า ไม่ได้ใส่ใจกับสภาพอากาศ มันเลยทำให้เราลืมไปว่า เราเดินอยู่กลางแดดเปรี้ยงๆ กระทั่งฉันเดินมาถึงจุดที่ฉันสนใจที่สุด ซึ่งภาพที่เห็น เหลือเพียงผนังสูงคล้ายเสาตั้งตระหง่านอยู่บนฐานซากอิฐ ที่นี่เองที่เคยเป็น พระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ ซึ่งสมเด็จพระนารายณ์มหาราชโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเป็นปราสาทจตุรมุข ยกพื้นสูงกว่าพระที่นั่งองค์อื่น ๆ ทำให้สามารถมองข้ามกำแพงวังไปเห็นแม่น้ำลพบุรีได้ ว่ากันว่า สมเด็จพระนารายณ์ ทรงใช้เป็นที่ประทับทอดพระเนตรกระบวนพยุหยาตราชลมารคและการซ้อมกระบวนยุทธ์ทางน้ำ อย่างไรก็ดี พระที่นั่งนี้เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าเอกทัศน์ กษัตริย์องค์สุดท้ายของกรุงศรีอยุธยา ท่านทรงประทับอยู่บ่อยครั้ง จนประชาราษฎร์ ให้พระนามพระองค์ว่า สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ และ ในปี พ.ศ. ๒๓๐๓ พระเจ้าอลองพญาแห่งราชวงศ์คองบองของพม่าได้ยิงปืนใหญ่เข้ามาจนทำลายยอดปราสาทแห่งนี้ ซึ่งถ้าใครมายืนอยู่ตรงนี้ แล้วมองไปทางแม่น้ำลพบุรี ก็จะเห็นวัดหน้าพระเมรุชัดเจนมาก และที่นั่นคือที่ตั้งของทัพพม่า! แม้ว่าเวลานั้น พม่าจะยกทัพกลับไป แต่หลังจากนั้นเพียง ๖ ปีต่อมา พม่าก็เข้าล้อมกรุงศรีอยุธยาไว้ จนล่วงเข้าปี พ.ศ. ๒๓๑๐ พม่าก็บุกทำลายกำแพงเมืองและเผาทำลายกรุงศรีอยุธยาอย่างย่อยยับ.....ซึ่งฉันมองว่า แม้ที่นี่จะเป็นมุมที่มองทิวทัศน์ได้ดี แต่ก็เป็นมุมอันตรายที่สุดทางยุทธศาสตร์ ฉันยืนมองเศษซากของสงครามเมื่อ ๒๕๓ ปีก่อน อากาศที่ว่าร้อนๆ ก็กลับเย็นเยียบเข้ามาในหัวใจ รอบๆ บริเวณนี้เต็มไปด้วยเลือดของการต่อสู้ทั้งฝ่ายเขาและฝ่ายเรา ประวัติศาสตร์มีเรื่องเล่าเสมอ และเรื่องเล่าที่นี่ มีน้ำตาและความสูญเสีย...ถ้าใครมีโอกาสได้มายืนอยู่ตรงนี้ ลองยืนนิ่งๆ ฟังเสียงวิงวอนของอดีตจากซากกองอิฐและสายลม บางทีคุณอาจจะได้ยินคำวิงวอน เหมือนกับฉัน ที่ว่า “ความสามัคคีเท่านั้น ที่จะทำให้แผ่นดินของเราไม่ตกเป็นทาสใคร!”