“ครั้งหนึ่งในชีวิต เราคือผู้พิชิตภูกระดึง” ผมเชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินคำนี้ และคงมีความรู้สึกว่ามันท้าทาย น่าไปพิสูจน์ดูสักครั้ง แต่อีกใจนึงก็คิดว่ามันคงเหนื่อยมาก ๆ เลย ผมก็เป็นคนหนึ่งที่คิดเช่นนั้น จนอยู่มาวันหนึ่งโอกาสที่จะได้ไปพิชิตภูกระดึงก็มาถึง เมื่อพรรคพวกต่างชักชวนกันไปพิชิตสิ่งนี้ "ภูกระดึง" เพราะมันเป็นปีสุดท้ายของชีวิตในมหาวิทยาลัยแล้ว จากนี้คงต้องแยกย้ายกันไป แล้วเรายังมีอาจารย์ไปดูแลด้วยอีก 1 ท่าน ภูกระดึงเป็นภูเขาหินทรายยอดตัด ความสูงประมาณ 1,288 เมตร ซึ่งการขึ้นไปยอดเขาจะต้องเดินเท้าเท่านั้น ไม่มีรถหรือกระเช่ารับขึ้นไปส่ง วิธีเดียวที่จะไปถึงคือต้องเดินเท้า มันจึงเหมาะกับผู้ที่รักการชื่นชมธรรมชาติที่แท้จริงเท่านั้น ก่อนจะเดินทางขึ้นไป จะมีจุดให้บริการลูกหาบ คือ มีชาวบ้านแถวนั้นมารับจ้างขนของขึ้นไปให้เราโดยคิดค่าบริการ ต่อน้ำหนักของ 1 กก./30 บาท ซึ่งเราจะใช้บริการลูกหาบหรือขนขึ้นไปเองก็ได้ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกาย และจิตใจของเราเอง ลูกหาบแต่ละคนแข็งแรงมาก ซึ่งในการหาบของต่างๆขึ้นไปบนยอดภูกระดึงน้ำหนักสิ่งของที่หาบต่อคนประมาณ 40-60 กิโลกรัมเลยทีเดียว ก่อนที่จะเริ่มเดินทางขึ้นไปจะมีกองไม้กองรวมกันอยู่ เมื่อถามเพื่อน ได้คำตอบว่า เป็นไม้ที่ใช้พยุงช่วยในการเดินขึ้นทางที่มีความชัน ขอแนะนำเลยว่าเราควรมีไม้ติดตัวไปด้วยจริง ๆ เพราะมันช่วยได้ค่อยข้างมากเวลาเจอทางชัน ระหว่างระยะทางที่ขึ้นไป จะมีจุดพักที่เราเรียกว่า “ซำ” ทั้งหมด 8 ซำ ซึ่งซำที่หนึ่งหรือจุดพักที่หนึ่ง เป็นซำที่อยู่ในความทรงจำของผมเป็นอย่างดีเพราะมีระยะทางห่างจากจุดเริ่มต้นไกลมาก และภูมิประเทศค่อนข้างชัน ใช้พลังงานค่อนข้างมากกว่าจะไปถึง ชื่อของซำนี้ คือ “ซำแฮก” คงหมายถึงจุดพักแรกนั้นเอง ความรู้สึกคือดีใจมากที่ถึงซักที แต่ก็มีแว็บนึงนึกขึ้นมา "ว่านี่พึ่งจะเป็นซำแรก และเหลือให้เราไปต่ออีก 7 ซำ" ทุกซำจะมีที่นั่งพัก มีร้านของ ทั้งน้ำดื่ม ผมไม้ ข้าว ฯลฯ ส่วนใหญ่คือเป็นของกิน ราคาก็...สำหรับผมถือว่ามันไม่แพงนะ กับความสามารถของลูกหาบที่พาของพวกนี้ขึ้นมาได้ แตงโม ชิ้นละ 10-20 บาทขึ้นอยู่กับระยะทางและความสูง ข้าว 50-60 บาท น้ำดื่มขวดละ 20-60 ขึ้นอยู่กับปริมาณของน้ำ หลังจากพักหาอะไรกินจนหายเหนื่อยแล้วเราก็ออกเดินทางต่อ ไปยัง “ซำบอน” ซึ่งทางจะไม่ชันมากเดินค่อนข้างสบายซึ่ง “ซำ” แต่ละ “ซำ”ก็จะตั้งชื่อตามต้นไม้ส่วนใหญ่ที่เกิดบริเวณนั้น เช่น “ซำบอน” ก็มีต้นบอนขึ้นเยอะ การเดินทางไม่เหนื่อยมากเราจึงไม่ได้หยุดพัก จากซำบอล เราก็เดินทางต่อมายัง "ซำกกกอก" ซึ่งทางก็เริ่มชันขึ้นแต่เราก็ยังไม่หยุดพัก คนที่ยังไหวอยู่ก็ช่วยคนที่ไม่ไหวไปด้วยกันให้ถึง จนมาถึง "ซำกอซาง" ทุกคนต่างก็หมดแรง เดินทางต่อไม่ไหวแล้ว และเวลาก็ประมาณเที่ยงพอดี พวกเราเลยตัดสินใจหยุดพักกินข้าวเติมพลังกันก่อนจะลุยต่อ อาหารอยู่ทุก ๆ ซำที่เราได้หยุดพัก อร่อยมาก อาจจะเป็นเพราะเราใช้พลังงานไปเยอะและหิวข้าวมากก็ได้ หลังจากทานข้าวเที่ยงเรียบร้อยแล้วเราก็ได้ออกเดินทางต่อไปอย่างช้า ๆ รับบรรยากาศธรรมชาติ ระหว่างการเดินทางมีต้นไม้ค่อนข้างเยอะจึงมีเงาจากต้นไม้ช่วยให้เราไม่ต้องเผชิญกับแสงแดดมากนัก จากนั้นเราก็ผ่าน "ซำกกหว้า" และ "ซำกกไผ่" โดยที่ไม่ได้หยุดพัก จากนั้นเราก็เริ่มอ่อนล้าอีกครั้ง เราจึงพักที่ "ซำกกโดน" ซึ่งเป็นอีกที่ ที่ประทับใจมาก อากาศเย็นสบาย วิวสวย เพราะว่าซำกกโดนก็ถือว่าอยู่ที่สูงมากในระดับหนึ่งแล้ว จุดนี้พักค่อนข้างนานเพราะทุกคนต่างชอบบรรยากาศจุดนี้ จากนั้นเราก็ถึงจุดที่ท้าทายจิตใจของเรามาก ๆ ระยะทางจาก "ซำกกโดน" ไปยังซำสุดท้าย “ซำแคร่” ซึ่งไม่แค่...เลย ซึ่งเส้นทางไปถึงที่หมายของเราเป็นทางที่ชันมาก ๆ บางจุดถึงกับต้องปีนเลยทีเดียว ซึ่งต้องมีความระมัดระวังในการเดินทางสูง ทั้งร่างกายที่อ่อนล้ามากแล้ว และยังมาเจอทางที่ชันมาก นี่แหละมันสมกับคำว่าเราคือ “ผู้พิชิต”จริง ๆ และในที่สุดเราก็มาถึงจุดหมายซักที จุดที่มีป้ายที่ใคร ๆ ก็อยากถ่ายรูปด้วย "ครั้งหนึ่งในชีวิต เราคือผู้พิชิตภูกระดึง" ซึ่งเราเรียกว่า หลังแป “ไชโย” ผมรู้สึกดีใจมาก ความรู้สึกดีมันกลบความรู้สึกเหนื่อยซะมิดเลย ข้างบนของภูกระดึงสูง เย็นสบาย และมองลงมาวิวข้างล่างสวยมาก การเดินทางขึ้นมาครั้งนี้มันให้อะไรกับผมมากมายไม่ว่าจะเหนื่อยแค่ไหนเราก็ยังมีเสียงหัวเราะ มีรอยยิ้มให้กันเสมอ และทำให้ผมเข้าใจว่า ทำไมใคร ๆ ก็อยากถ่ายรูปกับป้ายนี้ ป้ายที่ไม่ได้ตกแต่งให้สวยอะไรมากมาย แต่มันเป็นป้ายที่ย้ำให้ตัวเรารู้ว่า ครั้งหนึ่งในชีวิต เรานี่และคือผู้ที่ได้พิชิตภูกระดึง ผมและเพื่อนใช้เวลาเดินทางทั้งสิ้น 5 ชั่วโมงโดยประมาณ ตั้งแต่ 09.30 ถึง หลังแป เวลา ประมาณบ่ายสามครึ่ง จากนั้นผมก็ได้รับข่าวร้ายจากเพื่อน ว่าเราต้องไปที่พักต่อ ซึ่งอยู่ตรงนี้ เกือบ 4 กิโมเมตร… รูปถ่ายโดยผู้เขียนทั้งหมด