รีเซต

หนีกรุง..ไปเจอฝน! นอนแพ 500 ไร่ เที่ยวเขื่อนเชี่ยวหลาน และเขาสก สุราษฎร์ธานี 3 วัน 2 คืน

หนีกรุง..ไปเจอฝน! นอนแพ 500 ไร่ เที่ยวเขื่อนเชี่ยวหลาน และเขาสก สุราษฎร์ธานี 3 วัน 2 คืน
Filmthii
30 สิงหาคม 2562 ( 19:00 )
21.8K
9

         เหมือนร่างกายกำลังจะหมดแรง..นอนเลื่อนฟีด Google หาที่เที่ยวเงียบสงบ แบบได้ฟีลธรรมชาติ บอกเลยว่าในฤดูกาลฝนตกพร่ำๆ เดือนสิงหาคม กันยายน แบบนี้ ใครจะแพลนหา ที่เที่ยวหน้าฝน อาจจะต้องหนีทะเล ขึ้นภูเขา หรือเข้าป่า นอนเขื่อนกันแหละเนอะ 

         ดังนั้นครั้งนี้เราเลยขอพาตัวเองไปนอนนิ่งๆ อยู่กับธรรมชาติจริงจัง ตัดสัญญาณโทรศัพท์ กันที่ เขื่อนเชี่ยวหลาน จ.สุราษฎร์ธานี  กันครับ สำหรับตัวเราแล้ว ถือว่าตื่นเต้นมาก เพราะไม่เคยมีฟีลนอนเขื่อนเลย แถมหลายๆ คนก็บอกมาว่าสถานที่แห่งนั้นไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ด้วยนะ โหหหห เราจะอยู่ได้ไหมเนี่ย?  เอาหน่าา..เป็นไงเป็นกัน จองตั๋วให้จบๆ รู้แล้วรู้รอดไปเลย ฮ่าาา 

 

 

นอนแพ 500 ไร่ เที่ยวเขื่อนเชี่ยวหลาน
เขาสก สุราษฎร์ธานี

 

         ทริปเขื่อนเชี่ยวหลานครั้งนี้ เราแพลนไว้ว่าจะใช้วันหยุดเพิ่ม 1 วัน ติดกับเสาร์ อาทิตย์ รวมแล้วจะกลายเป็น 3 วัน 2 คืน นั่นเอง แถมเราจะต้องหาตั๋วเครื่องบิน ไปลงที่ จ.สุราษฎร์ธานี ไฟล์ทบินเช้าเท่านั้นด้วยนะ ไม่งั้นเดี๋ยวไม่คุ้มอ่ะ! เพราะอยากแวะเที่ยว ไหว้พระ พระบรมธาตุไชยา อ.ไชยา ก่อนจะเข้าเขื่อนเชี่ยวหลานช่วงบ่ายๆ 

 

 

เที่ยวบิน เวลาสวย ไฟล์ทเช้า สู่ จ.สุราษฎร์ธานี กับ Thai Smile

 

เขื่อนเชี่ยวหลาน นอนแพ 500 ไร่ เที่ยวหน้าฝน สุราษฎร์ธานี

 

         แน่นอนว่าตอนนี้เราได้ไฟล์ทบินเช้า เวลาที่ดีที่สุดมาแล้ว โดยเราเลือกใช้บริการของทางสายการบิน Thai Smile ไฟล์ท 07.40 น. ใช้เวลาบินจากสนามบินสุวรรณภูมิ ถึงสนามบินนานาชาติสุราษฎร์ธานี เพียง 1 ชั่วโมง เท่านั้น บอกเลยว่ายังประทับใจเรื่องบริการของสายการบินนี้จริงๆ

 

 

         นอกจากเวลาบินจะสวยแล้ว เรื่องการบริการของพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินก็เลิศไม่แพ้กัน จัดเต็มเสิร์ฟของว่าง และเครื่องดื่ม ให้เราได้อิ่มท้องตลอดทั้งมื้อเช้านี้ อีกทั้งเบาะที่นั่งก็กว้างสบาย เข่าไม่ติดเบาะคนข้างหน้าอีกด้วย เลิฟเว่อร์ตั้งแต่เรื่องการเดินทาง ฮ่าาา



DAY 01 : พระบรมธาตุไชยา / เขื่อนเชี่ยวหลาน / แพ 500 ไร่ 

 

         งีบไปได้สักพัก..เครื่องบินก็แลนด์ดิ้งลงสู่ท่าอากาศยานนานาชาติสุราษฎร์ธานีแล้วเรียบร้อย ท้องฟ้าแจ่มใส แดดดี๊ดีๆ ต้อนรับเราในช่วงเช้า ถือเป็นฤกษ์ดีสุดๆ สำหรับใครที่จะตามเราแพลนเที่ยวของเราเลยล่ะก็ แนะนำให้จองรถเช่ากันก่อนนะครับ ซึ่งก็มีหลากหลายบริษัทชั้นนำให้เราเลือก 

 

 

         หลังจากผ่านขั้นตอนการรับกระเป๋า และได้รถเช่ากันแล้ว เราก็มุ่งหน้าสู่ อ.ไชยา กันก่อน เพื่อไปกราบไหว้ นมัสการพระบรมธาตุไชยา วัดสวยสุราษฎร์ธานี และถือเป็นวัดที่สำคัญประจำจังหวัดอีกด้วย 

 

พระบรมธาตุไชยา วัดสวย ประจำจังหวัดสุราษฎร์ธานี 

         ซึ่งการเดินทางจากสนามบิน ก็ไม่ได้ไกลมาก ใช้เวลาเพียง 30 นาทีเท่านั้น โดยจะต้องเลี้ยวซ้ายจากปากทางสนามบิน และขับตรงมาเรื่อยๆ บนเส้นถนนสายเอเชีย จากนั้นจะเจอสี่แยกไชยา ให้เลี้ยวขวา ขับตรงมาเรื่อยๆ ก็จะพบกับพระบรมธาตุไชยา ตั้งโดดเด่นสวยงามอยู่ทางขวามือ (แนะนำให้เปิด Google Map เพื่อนำไปสู่ปลายทางที่ถูกต้อง) 

 

 

         พระบรมธาตุไชยา เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุสร้างในสมัยศรีวิชัย ถือเป็นวัดที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก อยู่คู่บ้านคู่เมืองสุราษฎร์ธานี มายาวนานกว่า 1,200 ปีเชียวนะ ส่วนรูปทรงสถาปัตยกรรม จะมาในแบบศรีวิชัย เน้นสร้างด้วยอิฐไม่สอปูน

 

 

         ได้รับกากรบูรณะในสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นการบูรณะส่วนปลียอด แต่ยังเหลือยอด ของเดิมซึ่งทำด้วยหินทรายแดงแกะสลัก มีความงดงามสมกับเป็นจุดเช็คอินไฮไลท์ของสุราษฎร์ฯ 

 

 

         และถ้าหากใครมีเวลาอีกสักหน่อย..ภายในสถานที่พระบรมธาตุไชยายังมีโซนพิพิธภัณฑสถาน แห่งชาติไชยาอีกด้วย โดยทางพิพิธภัณฑ์จะเก็บค่าเข้าชมคนละ 20 บาทเท่านั้น บอกเลยว่าคุ้มมาก เข้าไปชมกันเถอะครับ

 

 

         เราใช้เวลาอยู่ในพระบรมธาตุไชยาประมาณ 1 ชั่วโมงนิดๆ ก็ถือว่าเป็นเวลาอันสมควรแล้ว ที่เราจะแวะหาร้านอาหารอร่อย ระหว่างทางจะขับไปเขื่อนเชี่ยวหลาน โดยชาวบ้านแถว อ.ไชยา แนะนำ ร้านอาหารเพื่อนเดินทาง เพราะตั้งอยู่ไม่ไกลจากพระบรมธาตุไชยา ใช้เวลาเพียง 15 นาที เท่านั้น ใกล้มาก! 

 

 

ระวังสิ้นสุดสัญญาณโทรศัพท์ สู่ แพ 500 ไร่ เขื่อนเชี่ยวหลาน

         อิ่มท้องจากมื้อเที่ยง เราก็ขับรถมุ่งหน้าสู่เขื่อนเชี่ยวหลาน หรือที่เรียกกันอย่างชื่อทางการว่า เขื่อนรัชประภา เขื่อนแห่งนี้ตั้งอยู่ในเขต อ.บ้านตาขุน เป็นเขื่อนอเนกประสงค์แห่งที่สองของภาคใต้ พื้นที่ส่วนใหญ่ติดอุทยานแห่งชาติเขาสกเกือบทั้งหมด อีกทั้งเขื่อนแห่งนี้ยังเป็นโครงการพัฒนาแหล่งน้ำที่สำคัญแห่งหนึ่งของภาคใต้ ที่สร้างความมั่นคงให้แก่ระบบไฟฟ้า เรียกได้ว่ายิ่งใหญ่จริงๆ เนอะ 

         เอ๊ะๆ ลืมไปเลยว่า ยังไม่ได้อวดทุกคนเลย ว่าทริปนี้เราได้จองที่พักของทางแพ 500 ไร่ ซึ่งเป็นที่ขึ้นชื่อเรื่องวิวเขา และทะเลหมอกที่สวยที่สุดในเขื่อนเชี่ยวหลาน แถมยังเป็นที่พักแพ ระดับ 5 ดาวอีกด้วย อีกหนึ่งข้อดีของที่พักแห่งนี้ ก็คือเราสามารถเลือกแพ็คเก็จต่างๆ ได้เองตามใจชอบ ซึ่งจะรวมไปด้วยห้องพัก สุดพิเศษ,อาหารทุกมื้อแบบตักกันไม่อั้น, กิจกรรมเดินป่าขึ้่นเขา, นั่งเรือชมพระอาทิตย์ขึ้น และชมหมอกตอนเช้า, แวะถ่ายรูปชิคๆ ที่เขาสามเกลอ, เรือรับส่งฟรี, และมีรถตู้รับส่งจากท่าเรือเขื่อนเชี่ยวหลานกับสนามบิน (ไป-กลับ) คุ้มมาก! 

         “บอกเลยว่าหลังจากจบย่อหน้านี้..คือทุกคนจะต้องอ้าปากค้างกันเลยทีเดียวครับ” 

 

 

         ใช่แล้วครับ! อยู่ๆ ฟ้าฝนก็ไม่ค่อยเป็นใจ ต้อนรับเราด้วยการเทฝนลงมาอย่างต่อเนื่อง ไม่มีวี่แววที่จะหยุด (ร้องไห้หนักอยู่นะเอาจริง) เราได้นำรถไปจอดที่จุดจอดรถของท่าเรือเขื่อนเชี่ยวหลาน ซึ่งจุดนี้ไว้วางใจได้เลยครับ เพราะมีเจ้าหน้าที่ดูแลรถของเราตลอด 24 ชั่วโมง

 

 

         จากนั้นก็จะมีพนักงานของทางที่พัก แพ 500 ไร่ รอต้อนรับ และคอยช่วยยกกระเป๋าเดินทาง อยู่ตรงท่าเรือ แม้ฝนจะตกลงอย่างต่อเนื่อง แต่เราก็แฮปปี้ได้ด้วยความยิ้มแย้ม แจ่มใส เป็นกันเองของพนักงานนี่แหละ

         จากจุดเช็คอินตรงท่าเรือ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 15 นาที ก็จะถึงที่พัก 500 ไร่ กันแล้วครับ เรายังคงเชื่อกับประโยคหนึ่งที่มีคนเคยพูดว่า “ระหว่างทางมักสวยงาม และมีเรื่องราวมากกว่าจุดหมายปลายทางเสมอ” 

 

 

         โดยระหว่างที่เรือหางยาว กำลังแล่นเครื่องสู่แพ 500 ไร่ เราจะมองเห็นวิวภูเขาสูงใหญ่ หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่ายอดภูเขาหินปูน ขึ้นอยู่เหนือผิวน้ำตัดสลับกันไป ได้ฟีลเหมือนเรากำลังหลุดเข้าไปอยู่โลกของอวตาร และด้วยช่วงหน้าฝนแบบนี้ ก็ยิ่งทำให้วิวตรงนี้ดูสวยขึ้นอีกหนึ่งเลเวล เพราะทุกคนจะได้เห็นหมอกจางๆ ลอยตัวคลุมอยู่บนยอดภูเขาอีกด้วย อีกทั้งอากาศก็เย็นสบาย ตลอดทั้งวัน รู้สึกคุ้มแล้วล่ะ ที่บินมาไกลถึงตรงนี้  

 

 

         อีกหนึ่งความแปลกที่เราอยากให้ทุกคนมาสัมผัสเขื่อนเชี่ยวหลานด้วยตัวเอง ด้วยความลึกของใต้น้ำด้านล่าง ผสมผสานรวมกับหินปูนที่ตกตะกอน และเหล่าตะไคร่น้ำที่อาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก เลยทำให้ระดับสีน้ำในเขื่อนเชี่ยวหลานแห่งนี้ เป็นสีเขียวมรกต ส่วนงามคล้ายน้ำทะเล แต่! อย่าเข้าใจผิดนะ เพราะนี่คือน้ำจืดครับ ฮ่าาา    

 

 

         เนื่องจากที่พัก แพ 500 ไร่ ตั้งอยู่ชั้นในสุดของเขื่อนเชี่ยวหลาน เลยทำให้ที่นี่เงียบสงบเป็นพิเศษ เหมาะมากสำหรับใครอยากหนีความวุ่นวายในเมืองหลวง และเข้าหาธรรมชาติที่แท้จริง เมื่อเท้าของเราก้าวเหยียบแพ 500 ไร่ นั่นหมายความว่าสัญญาณโทรศัพท์สิ้นสุดลงแล้วทัน อีกทั้งสัญญาณอินเทอร์เน็ตทุกสิ่งอย่างก็ไม่มีเช่นกัน นั่นหมายความว่า สัญญาณแห่งความสงบ และเสียงหัวใจของธรรมชาติกำลังจะเริ่มขึ้น ลองตั้งใจฟังเสียงนี้พร้อมกันนะครับ 

         ทางพนักงานประจำที่พักต้อนรับเราท่ามกลางสายฝน ที่ยังคงตกอย่างต่อเนื่อง ด้วยเครื่องดื่มสไตล์ Welcome Drink และผ้าเย็นเช็ดหน้ากลิ่นสมุนไพรอ่อนๆ เอ๊ะ! แอบสงสัยกันอยู่ล่ะซิครับ เครื่องที่ทางที่พักเสิร์ฟคือน้ำอะไร? บอกให้ก็ได้ว่า มันคือน้ำใบเตยรสชาติหอมหวาน ดื่มปุ๊ปนี่ โลกของเราสดใสขึ้นมาอีกนิดหนึ่งเลยนะ ฟังดูเว่อร์ป้ะ ฮ่าาาา

 

 

         เนื่องจากบ่ายวันนี้เราสามารถเข้าเช็คอินได้เวลา 16.00 น. รวมไปถึงท้องฟ้าอากาศไม่ค่อยเป็นใจ เลยทำให้เราต้องตัดกิจกรรมช่วงบ่าย ที่แพลนไว้ว่าอยากออกไปนั่งเรือชมเขาสามเกลอ ทิ้งลงไปอย่างน่าเสียดาย ดังนั้นหลังจากจบประโยคด้านบน แพลนใหม่ของเราจึงขอเปลี่ยนเป็นเดินพาสำรวจห้องพัก ที่เราจะเข้าพักกันในคืนนี้ รวมไปถึงพาไปดูวิวจากห้องพักว่าจะมองเห็นอะไรบ้างดีกว่าเนอะ เพราะเราเชื่อว่าทุกคนก็น่าจะอยากรู้แหละ ว่าแพแห่งนี้มีดีอะไร ทำไมทุกคนถึงอยากมากัน 

 

 

         ทริปนี้เราเลือกจองที่พักของแพ 500 ไร่ เขื่อนเชี่ยวหลาน แบบห้อง "Deluxe Suite" เพียงแค่เปิดประตูเข้ามา ก็จะพบกับสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อย่างห้องน้ำ ที่มีฝักบัว และระบบเครื่องทำน้ำอุ่น ใครที่กลัวน้ำเย็นเจี๊ยบนี่ หายห่วงได้แล้วนะ แต่ไฮไลท์ของห้องเราไม่ใช่ห้องน้ำนะ แต่เป็นมุมห้องนอนนี่แหละ

         คุณพระ! เราแทบจะร้องไห้ เพราะวิวจากเตียงนอน ภายในห้องของเรา สามารถมองเห็นวิวภูเขาอันกว้างใหญ่ 180 องศา ผ่านประตูกระจกนั่นเอง อีกทั้งยังมีระเบียง Outdoor มุมเล็กๆ พร้อมเก้าอี้ไม้ ให้เราสามารถนั่งมองวิว นับดาวช่วงกลางคืน ได้อีกด้วยนะ (กิจกรรมหลังนี่..ต้องเช็คสภาพอากาศด้วยนะ) ฮ่าาา

 

 

         หลังจากเดินชื่นชมห้องพักวิวสุดโรแมนติกกันไปหอมปากหอมคอแล้ว อยู่ๆ ฝนก็หยุดตกขึ้นมากระทันหัน เห้ยยย..เอาไงดี?

         ไม่รอช้า! เราจึงขอเปลี่ยนเสื้อผ้าเล็กน้อย และจับไม้พายให้แน่น พร้อมพายเรือคายักชิลๆ กันสักหน่อยดีกว่า ลืมบอกไปอีกอย่างหนึ่งว่า อีกหนึ่งความพิเศษของที่แพ 500 ไร่ก็คือ ห้องพักทุกหลังจะมีเรือคายัก ให้ทุกคนสามารถพายกันเล่นๆ สนุกสนาน จนลืมนอยเรื่องสัญญาณโทรศัพท์ไปเลย 

 

 

         หลังจากพายเรือคายักเล่นไปได้สักพัก ท้องฟ้าจากที่สดใสประมาณ 1 ชั่วโมง ก็กลับมาฝนตกอีกรอบแล้วครับ! บอกเลยว่าการกลับมาของฝนคราวนี้ตกหนักจริงจังตลอดทั้งคืน แต่เราไม่ได้ซีเรียสอะไร เพราะบรรยากาศเย็นสบาย ดีเลยทีเดียวเชียว 

         ถึงเวลาของมื้อเย็นในวันนี้ ทางแพ 500 ไร่ จะเสิร์ฟอาหารรูปแบบบุฟเฟ่ต์ ตักทานกันได้ไม่อั้น โดยจะมีโต๊ะไลน์อาหารใต้ รสชาติปักษ์ใต้แท้ๆ พร้อมทั้งขนมหวาน ผลไม้ให้เราได้อิ่มกันจุก นอนไม่หลับเลยล่ะครับ ฮ่าาาา 

 

 

         ผ่านไปได้สัก 1 ชั่วโมงครึ่ง บอกเลยว่าอิ่มมาก! ไลน์อาหารบุฟเฟ่ต์มื้อเย็นของทางแพ 500 ไร่ ถือว่ารสชาติอร่อย จัดจ้านเลยทีเดียว แม้จะอยู่ไกลจากฝั่ง แต่เรื่องวัตถุดิบเมนูต่างๆ ที่ทางที่พักจัดไว้ให้ ถือว่าจัดเต็มสุดๆ คุ้มมากแม่ 

         เรานั่งชิลย่อยอาหาร โดยการเม้าท์มอยกับเพื่อนๆ ในทริปได้สักพัก จนรู้สึกง่วงนอน หนังตาเริ่มปิด แต่ก็เผลอไปมองนาฬิกาตรงล็อบบี้ ห้ะ! นี่เพิ่ง 2 ทุ่มเองเหรอ? จะมาง่วงได้ไง ฮ่าาาา แต่มันก็ง่วงจริงนะ..ถือเป็นอีกหนึ่งข้อดีต่อสุขภาพเลยล่ะ สำหรับการมาที่นี่ เพราะการที่เราไม่ได้อยู่ติดกับโทรศัพท์ จะยิ่งทำให้เรารู้สึกได้พักผ่อนนอนหลับได้เร็ว และนานยิ่งขึ้น งั้นขอลาไปนอนเลยล่ะกัน

“กู๊ดไนท์จ้าาาาา”



DAY 02 : เดินป่า..ชมทะเลใน / เขาสามเกลอ / อุทยานแห่งชาติเขาสก


         ตื่นเช้าขึ้นมาแบบไม่ต้องพึ่งนาฬิกาปลุก ก็พบว่าตอนนี้เป็นเวลา 06.00 น. ตรงพอดี เหมือนพระอาทิตย์กำลังจะขึ้น แต่ก็แอบมีเมฆฝนลอยตัวอยู่เล็กน้อย สรุป..จะเอาไงกันแน่! ห้ะ

 

 

         สิ่งหนึ่งที่เราชอบมากเช่นกัน สำหรับการได้มีโอกาสมาพักที่แพ 500 ไร่ นั่นก็คือวิวจากระเบียงช่วงเช้า จากห้องพัก อาจจะเป็นเพราฝนตกตลอดทั้งคืน เลยทำให้มีหมอกหนาๆ ลอยตัวอยู่บนภูเขาไกลๆ พร้อมแสงพระอาทิตย์สีส้มๆ เหลืองๆ เล็กน้อย 

“รอไรจ๊ะ..โพสท่าถ่ายรูปกันซิ” ฮ่าาาาา

 

 

         หลังจากที่เราถ่ายรูปตรงระเบียงห้องพัก กันจนพระอาทิตย์ขึ้นอยู่เหนือท้องฟ้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลา่สำหรับการไปอาบน้ำ เตรียมพร้อมกิจกรรมเดินป่า นั่งเรือไม้ไผ่ ชมโซนทะเลในกันดีกว่า

         ซึ่งก่อนจะไปพูดถึงกิจกรรมเดินป่าอะไรนั้นอ่ะ..กองทัพต้องเดินด้วยท้อง จริงป้ะ? ทางที่พัก ได้จัดเตรียมไลน์อาหารเช้าแบบง่ายๆ คอนเซ็ปต์เดิมคือตักทานได้ไม่อั้น อาทิ ไข่ดาวน้ำ (อันนี้คือดีต่อสุขภาพมากแม่!),  ไส้กรอก, แฮม, เบคอน, ข้าวต้มหมู, ขนมจีนน้ำยาสไตล์ปักษ์ใต้, ผลไม้ และเครื่องดื่มชากาแฟ หรือน้ำส้มคั้น เป็นต้น

 

 

         อีกทั้งในช่วงเช้าท้องฟ้ากลับแจ่มใส แฮปปี้มากๆ เราเลยได้มีโอกาสไปเดินเล่น ถ่ายรูปเพลินๆ ตรงบริเวณโซนสระว่ายน้ำของแพ โอวมายก็อต! บอกเลยว่าที่นี่มีสระว่ายน้ำนะจ๊ะ แม้ตัวเราจะอยู่กลางเขื่อน กลางป่าก็ตามแต่

 

 

กิจกรรมเดินป่า นั่งเรือชมทะเลใน (500ไร่) สุดตะลึงถ้ำปะการัง

         ถึงเวลาแล้วสำหรับกิจกรรมช่วงเช้า เดินป่า นั่งเรือชมทะเลใน (500ไร่) กิจกรรมที่เรากำลังจะพูดถึงนี้ ก็เป็นอีกหนึ่งโปรแกรมของทาง แพ 500 ไร่ เพื่อเสิร์ฟให้กับคนสายลุย และอยากใกล้ชิดกับธรรมชาติมากกว่าเดิม บอกเลยว่าใกล้ชิดจริงๆ ไม่หลอกดาว 

 

 

         โดยเจ้าหน้าที่ของอุทยานจะมาแวะรับเราที่แพ 500 ไร่ เพื่อมุ่งหน้าสู่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคลองแสง หรือทะเลในนั่นเองครับ จะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงนิดๆ อ้ะ! ไม่ต้องกลัวหลับนะ..เพราะวิวระหว่างทางคือดีมาก เจ้าหน้าที่ใจดี แวะจอดเรือให้เราออกไปนั่งโพสท่าถ่ายรูปบริเวณหัวเรืออีกด้วย

 

 

         ถือว่าคุ้มมาก และสวยมาก สำหรับคนที่ชอบถ่ายรูป ซึ่งตอนระหว่างถ่ายรูปเพลินๆ อยู่นั้น …. จู่ๆ ฝนก็ดันตกลงมาอีกแล้วจ้าาาาา ตกแบบไม่ทันตั้งตัวด้วยนะ ฮ่าาาา

         ผ่านไปได้ 1 ชั่วโมง เรือก็มาจอดตรงบริเวณท่าเรือของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคลองแสง ซึ่งการที่จะได้เห็นทะเลใน (500ไร่) ทุกคนจะต้องเดินเท้าเข้าป่า ฟีลลัดเลาะเขา ประมาณ 3 กิโลเมตร (รวมระยะทางไป-กลับ) อ้ะ! ต้องลุยต่อ..เพราะหยุดไม่ได้ 

 

 

         เราจะเล่าถึงจุดเช็คอิน ทะเลใน (500ไร่) กันสักนิด เผื่อใครยังไม่รู้จัก จุดนี้ไม่สามารถเชื่อมต่อกับผืนน้ำอื่นๆ ได้ ถ้าใครที่อยากมาเห็นทะเลใน จะต้องเดินป่าข้ามเขาได้อย่างเดียวเท่านั้น ส่วนน้ำในบริเวณนี้จะลอดเข้ามาใต้ถ้ำ พอเวลาผ่านไปนานเข้า..จึงเกิดเป็นทะเลสาบด้านใน ชาวบ้านเลยเรียกพื้นที่ตรงนี้ว่า ทะเลใน (500ไร่) นั่นเองครับ

 

 

        การชมทะเลใน (500ไร่) จะต้องนั่งเรือไม้ไผ่ ที่ทางเจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคลองแสงผลิตขึ้น เนื่องจากไม่สามารถนำเรือหางยาวลัดเลาะเข้ามาพื้นที่ในได้ บอกเลยว่าการนั่งเรือไม้ไผ่ ก็ชิล และสนุกไปอีกแบบนะ

 

 

         สำหรับเราแล้วพื้นที่ในเขตทะเลใน (500ไร่) ถือว่าเป็นจุดเงียบสงบมาก ป่าไม้ และภูเขาบริเวณนั้นยังคงอุดมสมบูรณ์ หาชมไม่ได้อย่างแน่นอนในกรุงเทพฯ ต้องบินมาเที่ยวสักครั้งให้ได้นะ! อีกหนึ่งไฮลไลท์ในการมาที่นี่ ก็คือเข้าไปชมความสวยงามของถ้ำปะการัง

 

 

         ถ้ำปะการังที่เรากำลังพูดถึง..สามารถเดินเข้าไปชมได้เพียง 50 เมตรเท่านั้น ภายในถ้ำจะประกอบไปด้วยหินงอก หินย้อยจำนวนมาก มีความคล้ายกับปะการังในทะเล โดยตลอดเส้นทางนี้จะมีเจ้าหน้าที่คอยส่องไฟนีออน และอธิบายจุดสำคัญต่างๆ ให้เราฟังอย่างเข้าใจได้ง่าย เรารับประกันความสวยงามภายในนี้เลยครับ งดงามมากจริงๆ 

 

      

โบกมือลาแพ 500 ไร่...แวะชมเขาสามเกลอ พร้อมการกลับมาของสัญญาณโทรศัพท์

         หลังกลับมาจากกิจกรรมเดินป่า ชมความสวยงามของทะเลใน (500ไร่) แล้ว ก็ถึงเวลาของมื้อเที่ยงพอดีครับ ซึ่งทางที่พักแพ 500 ไร่ ก็ยังคงจัดหนัก จัดเต็มเช่นเดิม เสิร์ฟไลน์อาหารใต้แบบบุฟเฟ่ต์ แค่นี้ก็ถือว่าคุ้มแล้วแหละเนอะ 

         อิ่มท้องมื้อสุดท้ายบนแพ 500 ไร่ ก็ถึงเวลาสำหรับโบกมือลาแล้วล่ะครับ เราค่อนข้างประทับใจที่นี่เรื่องการบริการของเจ้าหน้าที่ และวิวเป็นอย่างมาก ไว้ถ้ามีโอกาส ก็จะกลับมาใหม่อีกแน่นอน

 

 

         ระหว่างทางที่เรานั่งเรือกลับฝั่ง เจ้าหน้าที่ของแพ 500 ไร่ ใจดี พาแวะชมเขาสามเกลอ หนึ่งใน Unseen ของเขื่อนเชี่ยวหลาน และยังถูกขนานว่าเป็นกุ้ยหลินเมืองไทย อีกด้วย บอกเลยว่าแอบถ่ายยากกว่าที่คิด เอาเป็นว่าชมด้วยตาเปล่าคือสวยมาก ฮ่าาา

 

 

“ในที่สุด..สัญญาณโทรศัพท์ก็กลับมาอีกครั้ง”

 

นอนกลางธรรมชาติ โอบล้อมด้วยธรรมชาติ อุทยานแห่งชาติเขาสก 

         สำหรับแพลนในช่วงบ่ายวันนี้ คือการขับรถจากเขื่อนเชี่ยวหลาน มุ่งหน้าสู่ที่พัก ภูผาและลาธาร รีสอร์ท ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาสก เรียกได้ว่าหนีจากธรรมชาติ มาเจอธรรมชาติ เวอร์ชั่นมีสัญญาณโทรศัพท์แล้วนั่นเองครับ 

         ใช้เวลาขับรถประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที (รวมหลงทางนิดหน่อย) ก็ถึงตัวรีสอร์ท บอกเลยว่าที่นี่ตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขาจริงๆ ช่วงที่เราเช็คอินไปก็แอบมีฝนตกเล็กน้อยด้วยนะ..ทริปนี้มากับฝนจริงๆ ครับ ไม่รู้จะเศร้า หรือว่าสุขก่อนดี 

 

 

         สำหรับห้องพักที่เราจองไปตั้งอยู่ในโซนล่างสุดของรีสอร์ท ซึ่งก็ได้มีโอกาสเดินผ่านโซนต่างๆ ของที่นี่ไปในตัวอีกด้วย โดยที่พักทั้งหมดของทางรีสอร์ทจะในรูปแบบบ้านเป็นหลังๆ เริ่มต้นจากบ้านหลังใหญ่ เหมาะสำหรับใครที่เดินทางมาพักผ่อนแบบครอบครัว ไปจนถึงบ้านหลังเล็กๆ ที่เหมาะแก่การมานอนชิลกัน 2 คน 

 

 

         แน่นอนว่าห้องที่เราจองไปเป็นแบบหลังเล็ก สามารถนอนได้ 2 คน นั่นเองครับ แอบปลื้มอีกอย่างนึงก็คือตัวห้องพักของเราตั้งอยู่ติดกับสระว่ายน้ำของทางรีสอร์ทอีกด้วย เลิฟเลยอ่ะ! ซึ่งภายในห้องพักก็จะแบ่งออกเป็น 2 โซน จะเจอมุมห้องนั่งเล่นเล็กๆ ก่อน จากนั้นก็จะเจอห้องนอน พร้อมห้องน้ำในตัว 

 

 

         มื้อเย็นสำหรับค่ำคืนนี้ก็ถือว่าจัดเต็มอีกเช่นเคย ภายในรีสอร์ทก็มีร้านอาหารอีกด้วยนะ แถมยังตั้งอยู่ติดกับริมแม่น้ำ บรรยากาศดีสุดๆ แต่ในช่วงเย็นแบบนี้ก็มองไม่ค่อยจะเห็นแล้วล่ะครับ ฮ่าาาา

 

 

         สำหรับวันนี้กิจกรรมอาจจะไปหนักช่วงเช้าสักนิด แต่โดยรวมก็ถือว่ากำลังสนุกดี ไม่เหนื่อยจนเกินไป และตอนนี้ก็พร้อมสำหรับการเข้านอน เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับวันพรุ่งนี้

“กู๊ดไนท์อีกรอบจ้าาาาาา” 



  DAY 03 : สะพานรักเขาเทพพิทักษ์ / บ้านต้นน้ำบ้านน้ำราด / ศาลหลักเมือง

 

         ตื่นขึ้นมาพร้อมสำหรับมื้อเช้า ที่ทางรีสอร์ทจัดเตรียมไว้ให้ โดยไลน์อาหารเช้าของที่นี่ ก็เป็นสไตล์บุฟเฟ่ต์ ตักได้ไม่อั้นเช่นเคย อาทิ ออมเล็ท, ข้าวผัดไข่, ไส้กรอก, สลัดผัก, ข้าวต้มหมู และเครื่องดื่มชากาแฟ หรือน้ำส้มคั้น และในช่วงเช้าแบบนี้ อากาศเย็นสบาย เราเลิฟอากาศอะไรทำนองนี้มาก ฝนไม่ตกแต่ก็เหมือนจะตก สรุป! ยังไงกันแน่อ่ะ ฮ่าาา

         แพลนช่วงเช้าของเราวันนี้ ขอเริ่มกันด้วยขับรถออกจากที่พัก พร้อมกระเป๋าสัมภาระทั้งหมด เนื่องจากเย็นนี้เราจะบินกลับกรุงเทพฯ กันแล้วนั่นเองครับ โดยจุดเช็คอินแรกของเราก็คือ สะพานรักเขาเทพพิทักษ์

 

 

         สำหรับ สะพานรักเขาเทพพิทักษ์ ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติอีกแห่งหนึ่งในสุราษฎร์ฯ ตั้งอยู่ไม่ไกลจากเขื่อนเชี่ยวหลาน และที่นี่มีมุมถ่ายรูปไฮไลท์อย่างมุมสะพานแขวน ทีสามารถมองเห็นความงามของเขาเทพพิทักษ์รูปหัวใจได้อีกด้วย 

 

 

        สำหรับเราแล้ว เขาลูกนี้ก็มีความคล้ายรูปหัวใจจริงๆ นะ เราก็ได้ถ่ายรูปกันไปสักพัก จู่ๆ ฝนก็ตกลงมาอีกแล้วจ้าาาาา แถมไม่เกิน 3 นาที เขารูปหัวใจก็หายไปในหมอกหนาๆ สู่ขิตในวันที่ดือของจริง ฮ่าาาาา แต่ก็นะ..เราได้ภาพแล้ว แฮปปี้ ไปต่อได้

 

 

        เราใช้เวลาอยู่ที่ สะพานรักเขาเทพพิทักษ์ ไม่นานเท่าไหร่ ก็มุ่งหน้าสู่จุดเช็คอินต่อมา นั่นคือ ป่าต้นน้ำ บ้านน้ำราด ตั้งอยู่บริเวณ ต.บ้านทำเนียบ อ.คีรีรัฐนิคม จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งถ้าหากใครสนใจจะเดินทางมาที่นี่ล่ะก็..ไม่ได้ยากอย่างที่คิด เพียงขับรถเลือกใช้เส้นทางหลัก ขับมาเรื่อยๆ จนถึงจุดกิโลเมตรที่ 44 จากนั้นก็ขับเข้ามาตามป้ายอีกประมาณ 10 กิโลเมตร ก็จะพบที่นี่

 

 

        ซึ่งใครที่กำลังกลัวหลงทาง หรือกังวลอยู่ บอกเลยว่าไม่ต้องซีเรียส! ในระหว่างทางก็จะป้ายบอกอยู่เป็นระยะๆ อีกทั้งลานจอดรถที่นี่ก็กว้างขวาง มีพนักงานคอยดูแลอยู่อย่างใกล้ชิด รวมไปถึงยังมีร้านค้า ร้านอาหารของชาวบ้านในพื้นที่ เปิดให้บริการอยู่เพียบ ฟีลตลาดนัดเบาๆ

 

 

        ก่อนจะเข้าไปชมความงดงามของบ่อน้ำใส ภายในป่าต้นน้ำ บ้านน้ำราด ก็ต้องอ่านกฎของที่นี่ให้เข้าใจก่อน สิ่งที่ทางชาวบ้านห้ามเป็นพิเศษคือ ห้ามนำอาหาร และเครื่องดื่มทุกชนิดเข้าไปเขตภายในเด็ดขาด อีกทั้งกระเป๋าขนาดใหญ่ หรือแม้แต่ขนาดกลางๆ ก็ไม่สามารถนำเข้าไปได้เช่นกัน ใครที่กลัวของหายล่ะก็..ทางชุมชนมีจุดรับฝากของบริการอยู่ (ค่าใช้จ่ายประมาณ 10 บาท ต่อ 1 ตู้) ถือว่าเตือนแล้วนะ!

        จากจุดประตูทางเข้า เราต้องเดินเท้าเข้าไปอีกหน่อย ประมาณ 100 - 200 เมตร ก็จะพบกับโซนบ่อน้ำใส หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "ตาน้ำ" ซึ่งก็จะมีลักษณะเป็นบ่อน้ำสีฟ้าอมเขียวหน่อยๆ เห็นปุ๊ป ก็ต้องอ้าปากค้างเลย เพราะมันใสมาก

 

 

        อีกทั้งบริเวณพื้นใต้น้ำก็ยังเป็นทรายตะกอนหินปูน ยิ่งตอนแสงพระอาทิตย์ลอดมาจากด้านบนกระทบกับผิวน้ำ เลยทำให้มีความใส

 

 

        รวมไปถึงที่นี่ยังมีอีกหนึ่งกิจกรรมสนุกสนานให้เราได้สนุกกันต่อ ก็คือ กิจกรรมพายเรือชมธรรมชาติอีกด้วยนะ บอกเลยว่าไม่อยากให้ใครพลาด สำหรับโซนนี้ เพราะทุกคนจะได้นั่งเรือ ซึมซับไปกับบรรยากาศเย็นสบาย ภายใต้ความอุดมสมบูรณ์ของป่าไม้ นั่นเอง 

 

 

        ส่วนในช่วงบ่าย เวลาเหลือแบบนี้เราก็ขอขับรถเข้าไปเที่ยวในตัวเมืองสุราษฎร์ฯ หน่อยละกันครับ โดยเราตั้งใจจะเข้าไปกราบไหว้ ศาลหลักเมืองสุราษฎร์ธานี ที่นี่ถือเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวเมืองสุราษฎร์ฯ เพราะเป็นจุดเช็คอินที่อยู่คู่บ้านคู่เมืองมาเป็นเวลานาน

 

 

        และแล้วก็ถึงเวลาเดินทางกลับกรุงเทพฯ โดยไฟล์ทขากลับ เราก็ยังคงเดินทางกับ สายการบิน Thai Smile เช่นเดิม บอกเลยว่าทริปนี้ถือเป็นอีกหนึ่งทริปที่เราแฮปปี้มาก และรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงธรรมชาติดังชัดที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมา

        อีกทั้งยังเหมือนเราได้พาตัวเองออกมาพักผ่อน หนีความวุ่นวายในกรุงเทพฯ และพร้อมกลับไปตั้งใจทำงานใหม่ สัญญาว่าไม่เร็วก็ช้า เราจะกลับมาเยี่ยมสุราษฎร์ธานีอีก 


ขอบคุณทริปดีๆ ที่มอบความสุขให้กับเรา จากทาง TrueYou