ในความคิดของผู้อ่าน งานสังคมสงเคราะห์ ทำหน้าที่อะไรกันบ้างคะ ตอนแรกที่เราตัดสินใจเลือกใส่คณะนี้ตอนสอบแอดมิดชั่น เพราะเราชอบอ่านหนังสือจิตวิทยา อยากทำความเข้าใจคน อยากช่วยเหลือคน เราเคยอกหักและทำตัวไม่น่ารัก ทำให้ครอบครัวและคนที่รักเรารู้สึกผิดหวัง เรารู้สึกผิดกับการที่ทำตัวไม่ดี แต่ยังได้รับการให้อภัยและได้รับการช่วยเหลือจากหลายๆคนไว้ แต่ถึงอย่างนั้นความรู้สึกผิดก็ยังไม่หายไป ทุกคนให้อภัยแล้ว แต่เรายังไม่ให้อภัยตัวเอง เราเคยถามคนที่เคยช่วยเราว่า ต้องทำยังไงถึงจะให้ความรู้สึกผิดนั้นหายไป พี่คนนั้นตอบเราว่า ให้ช่วยคนเยอะๆ วันนึงความรู้สึกผิดจะหายไปได้เอง เมื่อเราทำดีมากพอ เมื่อเราช่วยคนมากพอ เราเลยเลือกใส่คณะนี้ลงไปในอันดับที่จะสอบและไม่่คาดหวังว่าจะสอบติด การสอบติดคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์นี้ บอกตรงๆ ว่าเรารู้สึกงง ทั้งดีใจที่สอบติด กับงง ว่าคณะนี้เรียนเกี่ยวกับอะไร เวลาใครถาม ก็ตอบว่า น่าจะเรียนไปช่วยคนมั้ง คงคล้ายๆนักจิตวิทยาแหละ แต่คนอื่นก็ตอบว่าเราก็สามารถช่วยคนทางช่องทางอื่นได้นี่นา ไม่ต้องเรียนก็ได้ การช่วยบริจาคของ การเป็นจิตอาสา เราก็ช่วยคนได้ ทำไมเราถึงต้องเรียนหลักการในการช่วยคนด้วยล่ะ ตอนเรียน เราได้เรียนทฤษฎีสังคมศาสตร์ สังคมสงเคราะห์ศาสตร์ ทฤษฎีทางจิตวิทยามากมาย จำ จำ จำ และจำ แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมเราต้องเรียนทฤษฎีของศาสตร์อื่นเยอะขนาดนี้ จนกระทั่งเราได้ฝึกงาน ฝึกครั้งแรก ฝึกภาคปฏิบัติที่หน่วยงานของรัฐแห่งหนึ่ง เป็นการฝึกภาคปฏิบัติ งานสังคมสงเคราะห์เฉพาะราย ฝึกครั้งที่สอง ฝึกภาคปฏิบัติที่ชุมชนแห่งหนึ่งในภาคใต้ เป็นการฝึกภาคสนาม ฝังตัวกับชุมชน 2 เดือน การฝึกงานครั้งแรกสนุกมาก เราได้เห็นการช่วยเหลือมนุษย์ ด้วยความเป็นมนุษย์ เราได้เห็นตัวแบบที่ดีของอาจารย์นิเทศงานภาคสนามของเรา ทำให้เราเข้าใจ ว่านักสังคมสงเคราะห์ทำอะไร นักสังคมสงเคราะห์ คือ case manager หรือคือผู้บริหารจัดการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาทางสังคม ด้วยการประสานหน่วยงานที่มีทรัพยากร ช่วยเหลือคน เพราะหลายๆงานหลายๆเคส เราทำคนเดียวไม่ได้ เราต้องมีทีม ในขณะที่เราเห็นตัวแบบของพี่ๆ และทีมสหวิชาชีพ ที่ช่วยคนไป 1 คน เราก็ได้รับการช่วยไปด้วยเช่นกัน เราได้เรียนรู้ประสบการณ์ชีวิต ผ่านประสบการณ์ชีวิต ของคนที่เราช่วย ในช่วงที่เราคิดว่าเรารู้สึกแย่มาก ยังมีคนที่รู้สึกแย่กว่าเรา และรอการช่วยเหลือจากเราอยู่ ทุกครั้วที่เราเห็นสีกน้าที่สว่างไสวของคนที่คุยกับพี่นักสังคมสงเคราะห์แล้วสดชื่นขึ้น ใจเราสว่างขึ้น ส่วนการฝึกงานครั้งที่สอง ค่อนข้างโหดมาก เราและเพื่อนๆสามารถปรับตัวให้เข้ากับชุมชนได้ไม่ดีนัก ความแตกต่างทางวัฒนธรรมทำให้พวกเราช็อคไปพอสมควร ภาษาถิ่นที่เป็นอุปสรรค ทำให้พวกเราทำโปรเจ็คฝึกงานได้แต่กับเด็กๆ และนับวันถอยหลังกลับบ้านทุกวัน พอเราเรียนจบ เราเลยรู้สึกว่า หรือเราไม่เหมาะกับงานสายนี้กันนะ เราหนีจากงานสายนี้ไปนานและเพิ่งสอบบรรจุตำแหน่งนักสังคมสงเคราะห์ ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้ ส่วนเคสที่เราขึ้นเขา ลงห้วยนี้ เราได้รับการประสานขอความช่วยเหลือจากองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งหนึ่ง แจ้งว่ามีผู้ขอรับการช่วยเหลืออยู่บนเขา จึงประสานกับนักพัฒนาชุมชนเพื่อนำลงพื้นที่ไปบ้านเคส และลงพื้นที่เยี่ยมบ้าน วันที่ลงเยี่ยมบ้าน เป็นการลงพื้นที่ที่ทางขรุขระโหดที่สุดตั้งแต่ทำงานมา ต้องใช้รถโฟร์วิลล์พาขึ้นไปยอดเขาไปลงห้วยขับข้ามผ่านลำธารน้ำเย็นใส เส้นทางไปคือวิบากมากมากแบบ มากๆ กระเด็น กระดอน ลำไส้สะเทือนไปหมด บนนั้นไม่มีสัญญาณโทรศัพท์และไฟฟ้าใช้ 😦 สุดยอดมากๆ ที่สุดยอดกว่าคือยังมีคนลำบากอยู่ในพื้นที่ห่างไกลแบบนี้ ดินยังเป็นดินลูกรังอยู่เลย พี่ที่พามาบอกว่า เราโชคดีมากนะ ที่มาตอนฝนแล้ง (หมายถึงฝนไม่ตก) เพราะถ้าฝนตก ทางขึ้น-ลงเขาเส้นนี้จะวิบากหนักกว่านี้อีก ขึนไม่ได้ ลงไม่ได้ ขนาดเอารถโฟล์วิลล์มาก็ยังต้องเป็นคนที่ชำนาญเส้นทางขับ ไม่งั้นรถติดหล่มง่ายๆ พอขึ้นไปถึง อึ้งมาก ว่ามีบ้านอยู่บนนี้ด้วย อยู่แบบใช้น้ำเขา ไม่มีไฟฟ้าใช้ มีแผงโซลาร์เซลล์ที่หน่วยงานของรัฐมาติดตั้งให้นานแล้ว แต่บางบ้านก็ใช้ได้บ้าง ใช้ไม่ได้บ้าง และอยู่กันหลายคน คือแบบลำบาก จุดเทียนเอา พอไปเยี่ยมบ้านหลังต่อๆมา คืออึ้งกว่า เพราะไม่มีห้องน้ำใช้ ห้องน้ำคือโถส้วมแบบนั่งยอง กลางแจ้ง ไม่มีฝาผนังกั้น เปิดโล่ง 😭 ปล.ลงรูปเคสไม่ได้ เพราะละเมิดสิทธิ์ส่วนบุคคล จึงแต่ลงได้แค่รูปวิว เครดิตภาพถ่าย โดย feltakwan #ที่นี่พังงา #เมืองสวยในหุบเขา