บทความนี้ผมจะมีรีวิวการพาเพื่อนขับรถจากกรุงเทพฯ มุ่งสู่ปาย สไตล์คนที่ไม่เคยขับขึ้นเขากันครับ ซึ่งเป้าหมายของการไปในครั้งนี้อันที่จริงแพลนว่าจะไปทั้งปายและปางอุ๋ง แต่ด้วยหลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่าง ทำให้ลงข้อสรุปกันว่า แค่ปายนั้นก็เพียงพอแล้ว โดยรถยนต์ที่ใช้ตลอดการเดินทางในทริปนี้เป็น Nissan Almera 1.0 Turbo มาดูกันครับว่าสนุกแค่ไหนทริปนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?อันที่จริงแล้วตัวผมเองเดินทางไปที่ปายค่อนข้างบ่อยเนื่องจากชอบเป็นการส่วนตัว เมืองเล็กๆ บรรยากาศดี ไม่น่าเบื่อและไม่วุ่นวาย บวกกับการทำงานที่ยาวนานไม่ค่อยได้มีเวลาพักแบบไปเที่ยวจริงจังเลย ก็เลยชวนกันไป ไม่ต้องแพลนอะไรมาก และไม่ต้องแพลนเนิ่นนานเกินไป เพราะจะกลายเป็นว่า "ไม่ได้ไป" แทน อีกทั้งสถานการณ์โควิด-19 ก็ทำให้พวกเราเองก็ยิ่งกังวลกับการเดินทาง เลยเอาเป็นว่าใช้รถยนต์ส่วนตัวจะดีที่สุด และเลือกไปทีที่ไม่ต้องพบปะผู้คนมากมายนักดีกว่า แผนการเดินทางคร่าวๆ และค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ยเป็นอย่างไร?จากแผนการเดินทางด้านล่างเราไปกัน 3 คน มีค่าใช้จ่ายรวมทุกอย่างเฉลี่ย/คน อยู่ที่ 4,000 บาท (อันนี้รวมค่าที่พักวันที่ 7 พ.ย. 64 เนื่องจากไม่อยากขับรถยิงยาวจากปาย มา กทม.)3 พ.ย. 64 เวลาประมาณ 18:00 น. ออกเดินทางจาก กทม.-เชียงใหม่4 พ.ย. 64 เที่ยวในเชียงใหม่และค้างคืน 1 คืน5-6 พ.ย. 64 เที่ยวในปาย7 พ.ย. 64 เดินทางกลับ กทม.ความสุขในการท่องเที่ยวส่วนใหญ่อยู่ที่...การเดินทางก่อนหน้าที่จะเดินทางนั้นเราก็ต้องการมีการเตรียมพร้อมเกี่ยวกับเส้นทางไว้บ้าง แม้ส่วนตัวแล้วผมเองจะนั่งรถไปปายบ่อย แต่ครั้งนี้เพื่อนขับรถไปและไม่เคยขับขึ้นเขา ผมเองขับรถยนต์ไม่เป็น ก็จะทำหน้าที่เป็น GPS ประจำรถไปในตัว เติมน้ำมันให้เต็มถัง และเราก็ออกเดินทางจาก กทม. เวลาประมาณ 18:00 น. ขับไปเรื่อยๆ กะว่าจะไปเช้าที่อาเขต เชียงใหม่ สักรุ่งสาง ระหว่างทางรถไม่มากครับ อาจเพราะดึกแล้วและสถานการณ์แบบนี้ด้วย แต่ที่ต้องระวังก็คืออันตรายต่างๆ ทั้งจากรถคันอื่นๆ และทัศนวิสัยของเส้นทาง เพื่อนผมสลับกันขับในช่วงนี้ เพื่อไม่ให้ล้าเกินไป ส่วนผมก็คอยบอกเส้นทางไปเรื่อยๆ เจอปั๊มก็จะแวะตลอด พอถึงสักลำปางหมอกเริ่มหนามากๆ ช่วงตีสองเห็นจะได้ ดังนั้นก็ต้องเคยเตือนๆ กันว่าอย่าขับเร็ว เพราะเราจะไม่ค่อยเห็นรถคันหน้าและเส้นทางเลย ระหว่างขับก็ใจถึงเปิด the shock ฟังไปครับ 555+ แต่ที่น่าตื่นเต้นกว่าคือเราไปถึงอาเขตตอนตีสี่!!! ตอนแรกจะเปลี่ยนแผนว่าไปเตรียมตักบาตร แต่ทุกคนก็เพลียดังนั้นก็เลยจอดรถในอาเขตแล้วงีบ รอไปอาบน้ำเช้าที่นั่นครับ ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วผมจะชอบห้องอาบน้ำของนครชัยแอร์ สะอาดและประหยัด เพียง 10 บาท เท่านั้น (ส่วนถ้าใครไปคนเดียวกลัวกระเป๋าหายก็มีที่รับฝากเช่นกันครับ) หลังจากทุกคนอาบน้ำกันเรียบร้อยแล้วก็หาอะไรกินรองท้องแถวนั้นไปก่อน ไก่ทอดสมุนไพรตรงนั้นอร่อยและถูก เซเว่นก็มี เรายังเข้าที่พักไม่ได้นะครับ เนื่องจากเปิดให้เช็คอินตอน 14:00 น. นี่เลยเป็นเหตุผลที่เราอาบน้ำในอาเขตและเที่ยวก่อน ซึ่งที่แรกที่ไปก็เอาฤกษ์เอาชัยที่ครูบาศรีวิชัย และต่อด้วยดอยสุเทพครับ แอบบอกกับทุกคนว่าจริงๆ พวกเราก็กลัวโควิด เพราะไปช่วงที่ข่าวการแพร่ระบาดในเชียงใหม่กำลังมามากขึ้น พวกเราเองก็พยายามเลี่ยงที่แออัด และด้วยความโชคดีหรืออะไรไม่รู้ เช้านั้นที่ไปดอยสุเทพ แทบไม่มีคนเลย ประหนึ่งว่าสถานที่นี้ทำไว้รองรับพวกเราเท่านั้น 555+ ระหว่างทางเห็นวิวทะเลหมอกไปพลางๆ อากาศเย็นกำลังดี ทุกอย่างคือดีและอำนวยมาก ที่สำคัญ...การขับรถไปที่ดอยสุเทพก็ถือเป็นการซ้อมขึ้นปาบของเพื่อนผมไปในตัวครับออกจากดอยสุเทพก็เดินทางไปอีกฟากฝั่งหนึ่งนั่นคือพระธาตุจอมทอง เพราะต้องการเอาของฝากไปให้คนแถวนั้นที่ผมรู้จักด้วย และเขาก็เก็บลำไยสดๆ มาฝากเกือบ 7 โล!!! กว่าจะไปถึงที่นั่น รวมถึงเดินทางกลับเข้ามาในตัวเมืองก็ประจวบกับเวลาเช็คอินเข้าที่พักครับ ดังนั้นก็เลยเข้าที่พักมานอนยืดเส้นยืดสายกันก่อนที่จะไปต่อบริเวณอ่างแก้วในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ครับที่อ่างแก้ว มช. ไม่ห่างจากที่พักมานัก ไปเดินเล่นเพลินๆ นักศึกษาเยอะพอสมควร ได้มีโอกาสนัดเจอคนรู้จักของพวกเราทั้งสามคนรวมถึงที่บังเอิญเจอด้วยก็ถือว่าเซอร์ไพร์สมากๆ ^^ มื้อเย็นนี้เลยไปนั่งกินชาบูกัน จังหวะนี้คือไม่ได้ถ่ายรูปแล้วครับ กินอย่างเดียวเพราะวันนี้ไม่ได้กินแบบเต็มที่กันเลย เราไปนั่งกินร้านหลัง มช. เลือกร้านที่คนไม่เยอะ และทางร้านก็เคร่งครัดเรื่องมาตรการดีครับ ส่วนตัวแล้วชอบบรรยากาศหลัง มช. มาก ของกินเยอะมากครับ แลดูเพลิดเพลินกับการกิน!!! อิ่มแล้วก็กลับที่พักเตรียมตัวสำหรับการเดินทางสู่ปายในวันพรุ่งนี้ เช้าวันรุ่งขึ้น เช็คเอาต์ออกจากที่พักประมาณ 08:30 น. และไปหากาแฟดื่มพร้อมข้าวเช้านิดหน่อย (ถ้าใครที่เมารถง่ายไม่แนะนำให้กินเยอะ แค่รองท้องก็พอ ส่วนใครที่อาการหนักก็กินยาแก้เมารถไว้ก็ดี) ก่อนเดินทางขึ้นปายก็แวะตุนเสบียงที่ ปตท.แม่ริม และเติมน้ำมันให้เต็ม เพราะเส้นทางที่ไปกันครั้งนี้ไม่ใช่ทางหลักที่คนส่วนใหญ่ไป แต่ขอบอกเลยว่า มั น ดี ม า ก ก ก ก ก ก เส้นทางที่เราไปกันในครั้งนี้เป็น เชียงใหม่-แม่ริม-สะเมิง-วัดจันทร์-ปาย (ผม map ไว้ให้เแล้ว ลองดูได้เลยครับ https://bit.ly/3wFtFnf) เหตุผลที่เลือกเส้นนี้เพราะโค้งจะไม่ชัน และจำนวนโค้งแบบหักศอกก็น้อยกว่าเส้นหลักมาก ช่วงแม่ริมถึงสะเมิงต้นๆ แถวๆ บริเวณทางแยกไปม่อนแจ่มตรงนี้ร้านข้างทางเยอะ ลึกเข้าไปก็ลดลงเป็นปกติครับ แต่การเดินทางไม่น่าเบื่อเลย เพราะถนนดีและโล่งมาก ด้วยเหตุนี้แม้ว่าเส้นทางจะยาวกว่าเส้นหลักเล็กน้อย แต่ท้ายที่สุดระยะเวลาก็พอๆ กันครับ เพราะเราก็ไม่ต้องไปเบียดเสียดกับใคร แต่ถ้าไม่คุ้นทางแนะนำให้เดินทางจากเชียงใหม่เช้าๆ พยายามอย่าค่อนไปทางบ่ายมากนัก เพราะเย็นแล้วจะเปลี่ยวนะครับ ...ส่วนระหว่างทางเจออะไรบ้าง มาดูกันต่อเลยครับระหว่างการเดินทางที่ยาวนาน...ทำให้เราได้อยู่กับตัวเองและพบเจอสิ่งต่างๆ อีกมากมาย ทัศนวิสัยของเส้นทางนี้ดีมากๆ เลยครับ เราขับขี่อยู่ภายใต้ร่มเงาของต้นสน โปร่ง โล่ง ท้องฟ้าในวันที่เมฆมากยิ่งทำให้ฟินกับการเดินทางเข้าไปอีก ขับขี่ไปเรื่อยๆ ก็จะเจอเป็นช่วงป่าสนสลับกับบริเวณชุมชนทำให้ไม่เหงา และไม่น่าเบื่อ ถนนลาดยางแทบจะทั้งเส้นจนถึงปาย เดินทางมากสัก 2 ชั่วโมงก็อยากแวะพัก เลยลองค้นหาคาเฟ่ปรากฎว่ามีจริงๆ ครับ เราแวะกันที่ "ความสุขคาเฟ่" แถวๆ สะเมิง ร้านตกแต่งสวยงามแบบธรรมชาติมาก ตั้งอยู่เชิงเขา และวิวที่มองออกจากร้านก็เป็นทิวเขาเช่นกัน มีเมนูเครื่องดื่มและอาหารเยอะ มีเรือนแคคตัสให้ได้ชมได้ซื้อ ที่นี่เป็นบริเวณปลอดสารเคมีนะครับ สเปรย์แอลกอฮอล์ก็พ่นกันตั้งแต่ในรถนะ ^^ คนขายเป็นกันเองมาก โดยรวมคือ 10 เต็ม 10 ได้กาแฟแล้วก็ชื่นใจ (ส่วนอาหารผมแวะกินขากลับครับเนื่องจากแวะขาไปนานไม่ได้กลัวถึงเย็นมากไป) เดินทางต่อไป มองวิวทิวทัศน์ข้างทางไป บนถนนที่เหมือนเป็นของเราเองเพราะนานๆ จะมีรถตามหรือสวนมาสักคน 5555 เหลือบไปเห็น จุดชมวิว...เหยียบเมฆา ตรงนี้คือสวยมากทุกคนนนนน รีบตีรถเข้าข้างทางและแวะถ่ายรูปกันทันที และแล้วระบบขับถ่ายของร่างกายกำลังถึงช่วงพี๊ค มองหาน้องน้ำกันก็เจอแถวๆ อุทยานแต่...เพื่อนไม่จอด >ชมน้ำพุร้อนธรรมชาติแบบฟรีๆ ไปในตัว ...ใครที่อยากมี activity ตรงนี้มีร้านขายของเล็กๆ และมีบริการขายไข่ไก่ไว้ให้ต้มนะครับถัดจากน้ำพุร้อนตรงนี้แล้วเราก็จะป่าสนวัดจันทร์ ซึ่งผมเลือกที่จะแวะขากลับนะครับ เนื่องจากกลัวจะถึงปายเย็นเกินไป ดังนั้นเราก็เดินทางยิงยาวเลยครับ ทางที่เข้าเขตแม่ฮ่องสอนจนถึงปายจะโค้งและชันกว่าที่ผ่านมาเล็กน้อย แต่ขับไม่ยากเกินไป (เพื่อนผมก็ไม่เคยขึ้นเขา) แต่แนะนำเลยครับว่ารถควรมีเกียร์ L ไว้ช่วยทางชันทั้งขึ้นและลงนะครับ เพราะถ้าขึ้นทางชันมากจะได้มีแรงหน่อย หรือถ้าลงทางชันมากก็จะช่วยในการเบรค ถ้าใช้เบรคเฉยๆ อาจจะไหม้ได้ ในที่สุดเราก็มาถึงประตูสู่ปาย ที่แรกที่ต้องเจอและผ่านคือ สะพานประวัติศาสตร์ปาย แวะถ่ายรูปเล่นสักหน่อย แล้วก็เขาที่พักเตรียมเริ่มเที่ยวในปายครับ แพลนหลังจากนี้คือไปชมพระอาทิตย์ตกดิน เดินเล่นถนนคนเดิน และวันรุ่งขึ้นก็เที่ยวในปายอีกวันให้เต็มที่ครับปาย @แม่ฮ่องสอน ไปกี่ครั้งก็ไม่เบื่อจำได้ว่าเข้าที่พักประมาณบ่ายสี่โมงนิดๆ ซึ่งเราพักกันที่ ปายริเวอร์แคมป์ เป็นที่พักที่ครอบครัวน้องที่ผมรู้จักทำอยู่ครับ ไปถึงก็สวัสดีทักทายคุณพ่อของน้องเขา พ่อบอกว่าเลือกเอาเลยจะเอาหลังไหน 555+ จากนั้นก็เข้าไปเก็บสัมภาระกัน ระหว่างที่รอเจอน้องก็ไปดูพระอาทิตย์ตกดินกินที่กองแลนหรือที่เรียกกันว่าปายแคนยอน บรรยากาศที่สงบ ผู้คนไม่มากมายเกินไป มองพระอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้าช่างเป็นภาพที่สวยงามและรู้สึกดีมากๆ เลยครับ มืดแล้วก็กลับไปเจอน้องที่ที่พัก และก็พากันออกไปเดินเล่นที่ถนนคนเดินก่อน ปีนี้ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ก็ทำให้ถนนคนเดินดูซบเซาไปมาก แต่ก็ยังพอมีร้านขายอยู่บ้าง บรรยากาศไม่ได้ถึงขนาดเงียบเหงาเลย เป็นความรู้สึกชิลล์ไปอีกแบบครับ ที่สำคัญของกินที่โปรดปรานยังมีขายนั่นคือ "ข้าวปุกงา" ไปกี่ครั้งก็จะต้องไปซื้อกินทุกครั้ง หอมและอร่อยมากครับ เนื่องจากของกินน้อยเลยไปที่ตลาดแทน ก็ซื้ออะไรเล็กๆ น้อยกลับมานั่งกินที่ที่พักแทน พ่อของน้องก็ใจดีมีย่างเนื้อมาแบ่งกินด้วย ^^ ผมก็แบ่งลำไยที่ได้มาให้ไป พร้อมกันของฝากที่หอบไปจากบ้านให้บ้านน้องเขาด้วยเช้าวันรุ่งขึ้นก็นัดกับน้องเขาให้พาเที่ยวไปด้วยกันเลย เราสี่คน (พวกผม 3 คน และน้องอีก 1 คน) ขี่มอเตอร์ไซค์ของที่พักไปที่จุดชมวิวทะเลหมอกหยุนไหลกันตั้งแต่เช้า จริงๆ ก็ขับรถยนต์ขึ้นไปได้ครับ แต่เสียค่าที่จอดรวมถึงไม่ได้ฟีลก็เลยเลือกเป็นมอเตอร์ไซค์ ขี่กี่ครั้งก็ยังตื่นเต้นไม่เปลี่ยน เพราะทางขึ้นค่อนข้างยาวและชัน ถ้าเข้าเกียร์หรือเบรคไม่ดีก็อาจจะคว่ำได้ครับ ไปถึงประมาณ 7 โมงนิดๆหมอกยังหนาอยู่เลย รออยู่นานมากจนหมอกเริ่มจาง วันนั้นไม่ค่อยเห็นเป็นทะเลสักเท่าไหร่ (ส่วนตัวเคยเห็นแบบทะเลหมอกมาแล้ว) แต่ก็ได้รับความรู้สึกไปอีกแบบครับ ผู้คนไม่หนาแน่น ท่ามกลางสายหมอก จิบชา กินหมั่นโถว ถ่ายรูปเล่นเพลินๆ ครับ พอลงมาด้านล่างก็สายๆ แล้ว เลยแวะทานอาหารที่หมู่บ้านสันติชลไปเลย เดิมทีผมตั้งใจจะไปกินแบบโต๊ะจีนเพราะเคยกินรู้สึกว่าอร่อยและคุ้ม แค่ร้านที่ไปก็อร่อยและคุ้มไม่แพ้กับครับ สั่งมา 4 เมนู ได้แก่ ชุดออเดิร์ฟ ขาหมูน้ำแดง ไก่ดำตุ๋นสาลี่เปรี้ยว และยอดผักผัดน้ำมันหอย พร้อมข้าว 1 โถ รวมแล้วก็ 700 บาท ขากลับที่พักก็เลยแวะสักการะหลวงพ่ออุ่นเมือง ที่วัดน้ำฮู้ วัดเก่าแก่ประจำเมืองปายครับจากนั้นเราก็เปลี่ยนกลับเป็นเดินทางด้วยรถยนต์และไปดื่มกาแฟกันที่ม่อนโก้ สถานที่เปิดใหม่ของเมืองปาย บริเวณนั้นจัดแต่งสไตล์แบบมินิมอล วิวภูเขา เป็นที่แคมป์ปิ้งได้ ตอนเย็นๆ บรรยากาศน่าจะดีมากเลย แต่เราไปตอนบ่าย แดดก็จะแรงหน่อยแต่ก็มีลมโชยครับหลังจากม่อนโก้ก็ขอกลับไปงีบที่ที่พักก่อน เพราะแดดร้อนมาก สักพักก็เดินทางไปที่บ่อน้ำแร่ธรรมชาติไทรงาม ที่นี่ลงแช่ได้นะครับ น้ำไม่ได้อุ่นหรือร้อนอะไร แต่น้ำใส่มากๆ ผู้คนนิยมไปแช่น้ำแร่ที่นี่ แต่ถ้าแนะนำก็หาจังหวะที่มี่คนน้อยๆ จะดีมากครับเพราะด้านในจะมี 3 บ่อ ลดหลั่นกันและไม่ใหญ่มาก ดังนั้นเวลาคนเยอะๆ ก็ไม่ค่อยน่าลงครับ ลืมบอกว่าทางไปมีช่วงที่ชันมากๆ อยู่ รถยนต์ไปได้ แต่ระมัดระวังในการขับขี่ด้วยนะครับอยู่ที่บ่อน้ำแร่สักพักใหญ่ๆ ก็กลับที่พักแต่เราก็แวะถ่ายรูปเล่นบริเวณสะพานไม้ไผ่และวันนี้ก็ไปชมพระอาทิตย์ตกที่วัดแม่เย็นครับ จากนั้นก็กลับมาพักผ่อนเตรียมตัวออกไปเดินเล่นที่ถนนคนเดินต่ออีกสักคืน ที่ถนนคนเดินปายกับบรรยากาศที่ซบเซาไปหน่อยก็ไม่เป็นไร ปีนี้มีโอกาสไปนั่งร้านชา (แนะนำให้ไปลองนะครับ) แล้วก็เดินซื้อของกินเรื่อยเปื่อย ถ้าสถานการณ์ปกติจะมีร้านมาเต็มตลอดแนวเลย ทั้งเสื้อผ้า ของกิน ของฝาก ของที่ระลึก ร้านเครื่องดื่มต่างๆ ก็บรรยากาศดีครับ ชาวต่างชาติอย่างฝรั่งก็เยอะเช่นกัน วันพรุ่งนี้ต้องเดินทางออกจากปายแล้วจริงๆ เหรอ? เช้าวันสุดท้ายของทริปที่เราจะอยู่ปายก็มาถึง เราทั้ง 3 คน ยังไม่ออกเดินทางแต่เช้าตรู่ เพราะหมอกจะลงหนาไม่เหมาะกับการขับขี่สักเท่าไหร่ ดังนั้นก็เลยทำให้เป็นวันชิลล์ๆ ไปหาโจ๊กทานที่ตลาด และเติมน้ำมันแล้วก็ตุนเสบียงสำหรับการเดินทางอีกครั้ง ก่อนออกจากที่พักก็คุยกับคุยพ่อของน้อง เห็นพ่อเขาปลูกพริกไว้ดกมากผมก็เลยของเด็ดเม็ดมาเพาะพันธุ์ต่อ รวมถึงพืชพันธุ์ต่างๆ อีกมากมาย และคุณพ่อก็จะลดค่าที่พักจากที่ลดแล้วให้อีกด้วย แต่เราก็ถือว่าให้เป็นค่าขนมน้องเขาไปที่อยู่เที่ยวด้วยกันเป็นวันๆ หลังจา่กออกจากที่พักเราก็เดินทางไปทำบุญร่วมสร้างวิหารหลังใหม่ที่วัดแม่เย็นและก็เดินทางไปต่อที่สะพานบุญโขกู้โส่ สะพานไม้ไผ่กลางทุ่งนา ตรงนี้จะเข้าไปลึกสักหน่อย ถนนเป็นแบบคอนกรีตเก่าๆ ค่อนข้างแคบติดๆ กันมีน้ำตกด้วยนะครับออกจากสะพานบุญเราก็เลือกกลับเส้นทางเดิมครับ และก็ไปแวะชมป่าสนวัดจันทร์ ด้านในมีอ่างเก็บน้ำที่ห้อมล้อมด้วยป่าสนคล้ายๆ กับปางอุ๋ง อีกทั้งยังมีคนแนะนำว่าหากมากลางเต้นท์นอนที่นี่บรรยากาศก็เหมือนปางอุ๋งเลย แถมคนน้อยกว่าด้วยครับ และที่สำคัญที่นี่ก็มีบริหารห้องพักด้วยนะถัดจากป่าสนวัดจันทร์เราก็ขับรถต่อตามเส้นทางที่มาเลย และไปแวะทานข้าวที่ความสุขคาเฟ่เช่นเดิม หากใครที่ต้องการไปแวะทานข้าวที่นั่นก็อาจจะต้องเผื่อเวลาสักหน่อย เนื่องจากการเดินทางค่อนข้างใช้เวลาพอควร พวกเราเองมีการตุนเสบียงไว้แล้วก็เลยไม่หิวอะไรมากครับ และแล้วเราก็กลับมาถึง ปตท.แม่ริม เวลาประมาณสี่โมงเย็นนิดๆ แถบบริเวณสะเมิงเราก็ยังผ่านจุดชมวิวเลยเก็บภาพสวยๆ ของทิวเขาที่สลับซับซ้อนตามภาพมาให้ดูกันด้วยโดยสรุปแล้ว เวลาที่ใช้เดินทางระหว่างเชียงใหม่กับปาย ตามสไตล์ที่ผมได้เล่ามาทั้งหมดนั่นคือ ไปเรื่อยๆ เจออะไรก็แวะ จะใช้เวลาราวๆ 5 ชั่วโมง กับการขับที่ไม่ได้เร่งรีบอะไรมากครับ เพราะจริงๆ ก็ไม่ควรขับเร็วเนื่องจากเป็นทางลาดชัดและโค้งเสียส่วนใหญ่ สำหรับใช้ที่กำลังคิดว่าจะขับรถไปเที่ยวปายในลักษณะนี้ผมก็แนะนำตามที่กล่าวมาเลยครับ แต่อาจจะต้องคำนึงถึงประเด็นต่างๆ ว่าระบบขับเคลื่อนของรถควรเหมาะหรือมีฟังก์ชันที่เอื้อกับการขึ้นเขาด้วย เช่น รถยนต์แบบเกียร์ออโต้ก็ควรมีเกียร์ L ไว้ช่วยการเผื่อเวลาเดินทางเป็นสิ่งสำคัญ ควรให้ช่วงของการเดินทางเป็นช่วงกลางวัน ไม่ถึงที่หมายจนมืดค่ำ เพราะต้องเผื่อกรณีที่ไม่ชำนาญเส้นทางหรือรถมีปัญหาการตุนเสบียงเป็นเรื่องที่ดี แต่ก็ไม่ควรจะกินตลอดทางเพราะจุดที่มีบริการห้องน้ำค่อนข้างน้อย อันที่จริงทริปเราจบเพียงเท่านี้ แต่เนื่องจากไม่อยากเสี่ยงกับการขับรถในตอนกลางคืนยาวมาถึงกรุงเทพ เราก็เลยตกลงกันว่าจะหาที่พักในลำปาง และแวะซื้อของฝากจากที่นี่ติดไม้ติดมือกลับไปด้วยครับ ดังนั้นค่าใช้จ่ายต่อคนที่ผมกล่าวไว้ข้างต้นว่าประมาณ 4,000 บาท ก็อาจจะไม่ถึง ถ้าไม่รวมที่พักลำปาง ซึ่งค่าใช้จ่ายนี้รวมทุกสิ่งทุกอย่างไว้แล้ว ทั้งที่พัก อาหาร ค่าน้ำมัน ค่าขนม และของฝากครับขอขอบคุณทุกท่านที่อ่านจน หากมีโอกาสก็ลองเที่ยวตามแพลนนี้ดูได้เลยครับ -รูปภาพทั้งหมดโดยผู้เขียน-อัปเดตบทความท่องเที่ยวตามสถานที่อันหลากหลาย โหลดเลยที่ App TrueID ฟรี !