เที่ยวกินแบบจัดเต็ม 3 วัน 2 คืน อยุธยา สิงห์บุรี ที่เที่ยวใกล้กรุงเทพ เน้นๆ แน่นๆ
มาทางนี้เลยค่ะ ใครที่กำลังหา ที่เที่ยวเน้นกิน แบบ เจาะตามร้านเด็ดร้านดัง ใกล้กรุงเทพ อยู่ล่ะก็ มาถูกที่แล้วค่ะ เพราะวันนี้เราจะมาเที่ยวที่ดัง พร้อมปักหมุดของกินขึ้นชื่อ ร้านอาหารชื่อดัง ที่ อยุธยา และ สิงห์บุรี กัน แบบจัดเต็ม 3 วัน 2 คืนไปเลยค่ะ เที่ยวเน้นๆ กินแน่นๆ ว่าแล้ว ก็อย่ารอช้า ตามมาเลยค่ะ
เที่ยวอยุธยา ตากลมเย็นๆ ล่องเรือชิล ชิมอาหารดัง
DAY1
วันนี้เราจะมาเริ่มต้นของทริปนี้ กันที่ จังหวัดอยุธยา ค่ะ เริ่มต้นออกเดินทางจากกรุงเทพฯ มุ่งตรงไปที่ อยุธยา กันเลยค่ะ เราจะเริ่มต้นอาหารเบาๆ ฟิวชั่นๆ หน่อย แต่สไตล์ไทย กันที่ร้าน The Summer House ที่อยู่ติดริมแม่น้ำ นั่งตากลมเย็นๆ กันเลยทีเดียวค่ะ ต้องบอกว่าอาหารหน้าตาสวยงามมากๆ แต่รสชาติก็ดีเยี่ยมเช่นเดียวกัน ไม่ได้มีดีแค่หน้าตาเท่านั้นค่ะ
เมนูที่อยากจะแนะนำ ก็คือ เมี่ยงส้มโอปลาแซลมอนย่าง รสชาติหวานเปรี้ยว เข้ากันได้ดีสุดๆ ที่สำคัญแซลมอนชิ้นใหญ่มาก เนื้อแน่นๆ อีกด้วย ส่วนเครื่องดื่ม ก็จะเป็นนี่เลยค่ะ กาแฟดี ศรีอยุธยา หรือจะเป็น ทิรามิสุ มอคค่า ก็ได้ค่ะ รับรองว่าต้องถูกใจคอกาแฟอย่างแน่นอนค่ะ กินหวานแล้วจะไม่กินหวานก็คงจะไม่ใช่ทริปเที่ยวกินอย่างแน่นอน เราตบท้ายด้วยของหวาน อย่าง มูสนมข้าวสีนิล หรือถ้าใครชอบหวานๆ หน่อยก็แนะนำเป็น โรตีสายไหมครีมนม เลยค่ะ
ดูรีวิวร้านเต็มๆ ได้ที่ The Summer House คาเฟ่อยุธยา อาหารไทยฟิวชั่น ติดริมแม่น้ำสุดชิล!
ต่อจากร้านนี้ เราก็จะไปกันที่ ร้านหมูสะเต๊ะชื่อดัง แต่มากันถึงอยุธยาทั้งที จะมีแค่หมูสะเต๊ะก็คงจะไม่ได้ค่ะ เพราะร้านนี้เขาขึ้นชื่อ ไส้สะเต๊ะ ตับสะเต๊ะ ด้วยค่ะ กับ ร้านหมูสะเต๊ะเฮียแกละ บอกเลยว่ายกให้เป็นอีกหนึ่งร้านสะเต๊ะในดวงใจเลยค่ะ ร้านเปิดทุกวัน ตั้งแต่ 08.00-14.00 น. ใครยังไม่เคยลองต้องมาเลยนะคะ ขอบอก
คั่นด้วยของคาวแล้ว ก็ต้องไปต่อกันที่ของหวานค่ะ กับ ร้านขนมไทยฟิวชั่นชื่อดัง อย่าง ร้านบ้านข้าวหนม บรรยากาศร้านนิ มีมุมถ่ายรูปสวยเยอะแยะสุดๆ ไปเลยค่ะ สายคาเฟ่ ต้องห้ามพลาดค่ะ มาถึงเราก็สั่งเมนูชื่อดังอย่าง เขียวส่องTea เป็นน้ำชาอัญชัญ ทานคู่กับสาคูใบเตย ไม่หวานมาก เน้นความมันเป็นหลัก เคี้ยวเพลินอร่อยดีเลยค่ะ
ดูรีวิวร้านบ้านข้าวหนม ได้ที่ บ้านข้าวหนม คาเฟ่ขนมไทย อยุธยา สุดฮิต กลางเมืองเก่า ใกล้กรุงเทพ!
และก็ไอศครีม อย่าง ไอติมหลงยุค เป็นส่วนผสมที่ลงตัวของ ไอศครีมชาไทย กับ ฝอยทอง ตัวไอศครีมจะไม่หวานมาก จะได้ความหวานจากฝอยทองแทน เพิ่มความกรุบกรอบด้วยทองม้วน เป็นอีกเมนูที่คัดสรรมาได้ลงตัวมากๆ ค่ะ และแล้วก็ได้เวลาไปเที่ยวค่ะ เพราะเราจะไปล่องเรือชมวิวแม่น้ำน้อย กับที่ ร้านอาหาร สุริยัน จันทรา ค่ะ
ที่นี่เขามีพร็อพถ่ายรูปพร้อมสุดๆ ค่ะ บรรยากาศของร้านก็ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอนค่ะ เพราะเหมือนกับได้ย้อนไปยุคสมัยรัชกาลที่ 5 มีความคลาสสิคสุดๆ เลย พอเข้าไปในเรือ จะได้เห็นการตกแต่งเรือด้วย ไม้ ผ้าม่าน เก้าอี้ หรือแม้แต่ โคมไฟแบบไทยๆ แม้แต่พนักงานเสริฟ์ในเรือกับพนักงานขับรถเอง ก็แต่งตัวสไตล์ไทยเช่นเดียวกัน จัดเต็มแบบนี้จะไม่อินได้อย่างไรล่ะเนอะ
การล่องเรือนั้น จะล่องไปตามแม่น้ำน้อย และจอดตามจุดต่างๆ เริ่มจาก วัดบางปลาหมอ ให้ได้แวะไหว้สักการะ หลวงปู่สุ่น และ พระนอน กันค่ะ ต่อด้วย วัดบางนมโค ค่ะ ก่อนจะวนกลับไปที่ร้านอาหารเพื่อรับประทานอาหารเย็นกันค่ะ โดยอาหารเย็นนั้นจะจัดสรรไว้เป็นเซ็ตพร้อมรับประทานแล้วค่ะ
ดูรีวิวร้านอาหารเต็มๆ ได้ที่ สุริยันจันทรา ร้านอาหารอยุธยา ล่องเรือโบราณ ทานอาหารไทยริมน้ำ บรรยากาศสุดฟิน
โดยเมนูจะเป็นอาหารไทยโบราณทั้งหมด ที่แนะนำเลย ก็คือ มัสมั่นไก่ เนื้อนุ่มสุดๆ เครื่องแกงอร่อยลงตัวมากๆ นอกจากนี้ก็ยังมี น้ำพริกมะขาม แสร้งว่ากุ้ง หมูสร่ง ห่อหมกบัวหลวง เป็นต้นค่ะ ตบท้ายด้วย ขนมไทย เรียกได้ว่ามื้อนี้อิ่มสุดๆ เลยค่ะ เป็นอย่างไรกันบ้างคะ กับ วันแรก กินกันทั้งวันเลยใช่ไหมล่ะคะ ท้องอิ่มหนังตาก็หย่อนตาม เลยต้องรีบเข้าไปเช็คอินที่โรงแรมกันค่ะ วันนี้เราจะพักกันที่ Kantary Hotel Ayutthaya โรงแรมสวยมากๆ ห้องใหญ่สุดๆ นอนสบายๆ ได้เลยค่ะคืนนี้
DAY2
ตามหาความอร่อยแบบ ต้นตำรับ สิงห์บุรี
สัมผัสชุมชนท้องถิ่นแบบใกล้ชิด
บอกก่อนเลยว่า วันนี้เราจะไปตามล่าของกินท้องถิ่น ของ จังหวัดสิงห์บุรี กันค่ะ อะไรเด็ด อะไรดี เราจะหามาให้ทุกคนค่ะ เลยเริ่มต้นทริปกันที่ ร้านป้าละมุน ร้านหมูทุบต้นตำรับเจ้าแรกของสิงห์บุรีค่ะ โดยขั้นตอนการทำนั้น จะเริ่มจากการแล่ แล้วนำไปโม่(คลุกเคล้า)กับเครื่องเทศต่างๆ หลังจากนั้นก็นำไปตากแดด แดดจริงๆ จากธรรมชาตินี่แหละค่ะ โดยจะต้องตากทั้งวันนะคะ ก่อนจะนำไปอบและรีด จนออกมาเป็น หมูทุบ ให้เราได้กินกันค่ะ
หลังจาก หมูทุบ ที่เป็นของฝากขึ้นชื่อของ สิงห์บุรี แล้ว ก็พลาดไม่ได้กับอีกของฝากขึ้นชื่อ อย่าง กวนเชียง หรือ กุนเชียง นั่นเองค่ะ เราไปกันที่ร้านชื่อดัง กวนเชียงนายอิ้ว ได้เห็นกระบวนการทำที่กว่าจะออกมาเป็นกวนเชียงที่เราได้ทานกันนั้น ต้องคัดสรรวัตถุดิบอย่างดีเลย กระบวนการการทำก็ใช่ย่อย ทั้งผึ่งลม กว่า 4 ชั่วโมง หรือ จะเอาไปอบเข้าตู้อบ ใครมาสิงห์บุรี อย่าลืมนะคะ ต้องมา ซื้อกวนเชียงร้านนี้กลับไปเป็นของฝากกันค่ะ
เมื่อเริ่มจะตึงๆ ท้อง เราก็ต้องยั้งไว้ก่อนค่ะ เพราะเรากำลังจะไปทาน ปลาช่อนแม่ลา ของขึ้นชื่อประจำสิงห์บุรี ที่ไม่ว่าร้านไหนๆ ก็ต้องมีเมนูปลาช่อน ถ้าไม่มีถือว่าไม่ใช่สิงห์บุรีอย่างแน่นอน และเมนูเด็ดของร้านนี้มีชื่อว่า ปลาช่อนเผาสะเดาฟาดไฟ ที่ ร้านเกษรา เบเกอรี่ และ เกษราเรสแอเรีย ร้านนี้มีเมนูปลาช่อนที่เยอะมากมายสุดค่ะ ตั้งแต่ของคาวไปจนของหวาน เขาบอกว่า ถ้ามาที่นี่ต้องกินปลาช่อนเผาไฟ คู่กับ สะเดาฟาดไฟเท่านั้น ถึงจะเด็ดดวง ปกติสะเดาเราจะเอามาต้ม แต่ ถ้าเป็นแบบเผาไฟนั้น จะมีความหอมของกลิ่นไหม้และขมน้อยกว่าแบบต้มค่ะ พอทานคู่กับน้ำจิ้มน้ำปลาหวาน ก็จะลงตัวสุดๆ เลย ขอบอก
หลังจากของคาว ก็มาที่ของหวานกันต่อเลยค่ะ คงคุ้นๆ กับเมนู เค้กปลาช่อน และ ไอศครีมปลาช่อน กันอย่างแน่นอน เริ่มที่ เค้กปลาช่อน บอกเลยว่าไม่มีกลิ่นคาวปลาแต่อย่างใดเลยค่ะ กินเข้าไปไม่บอกก็คงไม่รู้ว่ามีส่วนผสมของปลาช่อนรวมอยู่ด้วย เค้กนุ่มมากๆ ทานคู่กับ ซอสส้ม ก็อร่อยสุดๆ ค่ะ มาถึง ไอศครีมปลาช่อน เมนูที่คิดแล้วคิดอีกว่าจะลองดีไหม แต่มาถึงแล้วก็ต้องลองค่ะ กินเข้าไปคำแรก ก็คือกะทิเลยค่ะ เหมือนกันไอศครีมกะทิค่ะ แต่พอไอศครีมเริ่มละลาย ก็จะเจอกับเนื้อปลาช่อนค่ะ ว้าวมากค่ะ นะจุดๆ นี้ นอกจากสองเมนูนี้แล้ว ก็ยังมี ขนมเปี๊ยะก้างปลาช่อน คุกกี้ปลาช่อน ทองม้วนปลาช่อน อีกด้วยค่ะ
ต่อจากร้านอาหาร เราก็จะไปทำกิจกรรมกันที่ บ้านข้าวหอม ฟาร์มสเตย์ กันค่ะ พอเรามาถึงทางฟาร์มสเตย์ก็ต้อนรับเราด้วยของกิน(อีกแล้วค่ะ) ทั้ง ลอดช่องน้ำกะทิแตงไทย มะม่วงหาวมะนาวโห่ และ กาแฟดริป ค่ะ โดยทั้งหมดนี้เป็นของกินที่มาจากชุมชนค่ะ ส่วนกิจกรรมของที่นี่ สามารถเลือกทำได้เลยค่ะ เพราะมีเยอะแยะมากมายเลยค่ะ ตั้งแต่ ปั่นจักรยาน ขับรถATV นั่งรถไถนา พายเรือ หรือจะ ให้อาหารควายเผือก ก็ชิลสุดๆ ค่ะ บรรยากาศของที่นี่ดีมากๆ มีทุ่งนาสีเขียว บ่อน้ำ และ สระน้ำดอกบัว อยู่รวมกันทั้งหมดเลยค่ะ บอกเลยค่ะว่า ที่เที่ยวถ่ายรูปเยอะสุดๆ ใครชอบบรรยากาศแบบนี้ รับรองว่าจะต้องถูกใจค่ะ
พอเที่ยวเล่นเสร็จแล้วก็ต้องทานของว่างกันสักหน่อย บอกเลยว่าถูกใจสิ่งนี้สุดๆ ค่ะ กับ ขนมครกโบราณผสมข้าวไรซ์เบอร์รี่ ที่มีความกรอบนุ่มในชิ้นเดียวมากๆ กินเพลินเลยค่ะ ก่อนจะปิดท้ายด้วยเซ็ตอาหารมื้อเย็นแบบจัดเต็ม ใครสนใจมาพักที่นี่สามารถจองได้เลยนะคะ ส่วนราคารวมหมดทุกอย่าง ตั้งแต่กิจกรรม อาหารว่าง ที่พัก อาหารเย็น รวมแล้วแค่ 850 ต่อคนเท่านั้นค่ะ แต่ที่นี่จะเปิดรับนักท่องเที่ยวแค่ในช่วงสุดสัปดาห์เท่านั้นนะคะ ถ้าอยากจะหาที่พักผ่อนและได้ทำกิจกรรมสนุกๆ ใกล้กรุงเทพฯ พร้อมถ่ายรูปสวยๆ ด้วยแล้ว มาที่ บ้านข้าวหอม ฟาร์มสเตย์ เลยค่ะ
ดูรีวิวเต็มๆ ได้ที่ นอนกลางทุ่ง ชิลกลางนา 2 วัน 1 คืน บ้านข้าวหอม สิงห์บุรี ที่เที่ยวใกล้กรุงเทพ
เหมือนว่าจะสิ้นสุดวันแล้วใช่ไหมค่ะ แต่ยังค่ะ เพราะเราจะไปกินมื้อดึกกันต่อที่ร้านดังของ สิงห์บุรี อย่าง ร้านรำพึง เมนูเด็ดที่มาแล้วห้ามพลาด ก็จะมี ปลาม้าผัดฉ่า แกงป่าปลาคัง ส่วนของไม่เผ็ดก็จะมี เม็ดมะม่วงผัดปลาช่อนกรอบ ปลาหมึกไข่เค็ม แต่ถ้าอยากจะซดน้ำก็ต้อง หม้อไฟหัวปลาต้มเผือก เลยค่ะ ไม่แปลกใจเลยค่ะ ที่ร้านนี้เป็นร้านดัง เพราะอาหารทุกอย่างของเขา อร่อยทั้งหมดค่ะ รสชาติเข้าถึงเครื่อง กลมกล่อม ถ้าไปสิงห์บุรีและไม่แวะร้านนี้ บอกเลยค่ะว่าจะต้องเสียใจ และเราก็จะจบวันนี้กันที่ โรงแรมไชยแสง วิลล่า ค่ะ ไปถึงก็นอนหลับสบายกันทั้งคืนจนถึงเช้าเลยค่ะ
เที่ยวกินเน้นๆ กับร้านดัง เมือง สิงห์บุรี
DAY3
มาถึงวันสุดท้าย ก็เปิดกันที่อาหารรองท้องเบาๆ อย่าง ซาลาเปา กันค่ะ ร้านนี้เรียกได้ว่าเปิดมานานหลายปีมากๆ กับ ซาลาเปาแม่สายใจ ที่เด็ดในเรื่องของ ซาลาเปาไส้ปลา ที่ทำจาก ปลาช่อน ปลากราย และ เห็ดหอม ยังได้รางวัลของดีเมืองสิงห์บุรีอีกด้วยนะคะ ส่วนอีกไส้ ที่เราอยากแนะนำคือ ซาลาเปาไส้ถั่วดำ ค่ะ บอกเลยว่าไม่ใช่ถั่วดำธรรมดาอย่างแน่นอนค่ะ เพราะทำจาก ถั่วเขียว โดยใช้สีดำจากกากมะพร้าวเผา เป็นสูตรแบบโบราณ รสชาตินิเหมือนไส้ครีมเลยค่ะ วิธีการทำไม่เหมือนใครและยังอร่อยอีกด้วยค่ะ
หลังจากนั้นเราก็มาแวะ ร้านสุขสราญ คาเฟ่ นั่งกันชิลๆ ก่อนจะไปต่อกันที่ ตลาดไทยย้อนยุคบ้านระจัน ตลาดสุดฮิตของจังหวัดสิงห์บุรี ไม่ว่าใครก็ต้องมา สิ่งที่ห้ามพลาดเลยเมื่อมาตลาดนี้ นั่นก็คือ น้ำตาลสด เมี่ยงใบบัว ปลาเห็ด น้ำพริกปลาร้าสับ อันนี้บอกเลยค่ะว่า แซ่บมากๆ ไปจนถึง ขนมกง ขนมจีน ขนมเกสรดอกลำเจียก ปลาช่อนเผา และ ผัดไทนักรบ ค่ะ ใครมาตลาดนี้แล้วกินได้ครบทุกอย่าง ถือว่ามาถึงแล้วค่ะ ฮ่าๆ แล้วก็อย่าลืมชมการแสดงหรือถ่ายรูปกับนักรบด้วยนะคะ เป็นอีกตลาดที่แม่ค้าพ่อค้าน่ารักกันสุดๆ เลยค่ะ มีความเป็นเอกลักษณ์และมีของกินในเลือกเยอะมากๆ จนต้องใช้เวลาเดินย่อยกันนานเลยทีเดียวค่ะ
ดูรีวิวเต็มๆ ได้ที่ ย้อนอดีต ไปชิมช้อป ณ ตลาดไทยย้อนยุคบ้านระจัน สิงห์บุรี ที่เที่ยวใกล้กรุงเทพ
ก่อนจะเดินทางกลับกรุงเทพฯ เราจะไปแวะร้านดังอีกร้านกันค่ะ แต่ต้องไปแวะชิม ขนมเปี๊ยะชื่อดังของสิงห์บุรีก่อน ที่ไม่มีขายที่ไหนเลย ขายแค่หน้าร้านตัวเองเท่านั้น กับ ขนมเปี๊ยปากบาง ที่ขายมาแล้วกว่า 70 ปีเลยค่ะ
หลังจากนั้นเราก็ตรงไปที่ร้านอาหารร้านดังที่มีชื่อว่า ร้านกุ้งเผาทองชุบ มาร้านกุ้งเผา ก็ต้องกินกุ้งเผาอย่างแน่นอนค่ะ บอกเลยค่ะ ว่าไม่มีคำบรรยายใดใด มากกว่า คำว่าอร่อยสุดๆ แล้วค่ะ เนื้อกุ้งแน่นสุด มันกุ้งก็ข้น รสกลมกล่อมมาก มองดูนึกว่าไข่ข้นสักอีกเพราะเยอะมาก ที่สำคัญเลยต้องทานคู่กับ สะเดาน้ำปลาหวานค่ะ ถึงจะสุดยอด อีกเมนูที่ดีไม่แพ้กันคือ เชิงปลากรายทอดกระเทียม ค่ะ ที่ต้องลอง
และแล้วก็ถึงเวลาที่เราจะได้กลับกรุงเทพฯ กันแล้วจริงๆ แต่ก่อนจะกลับไป ตอนออกจากร้านทองชุบ เราจะเห็นปลาช่อนแดดเดียวขายกันเยอะเลยค่ะ แน่นอนว่ามีร้านเด็ดค่ะ อยู่หัวมุมติดกับที่จอดรถบริเวณหน้าวัดเลยค่ะ ชื่อว่า ร้านบัวงาม ปลาช่อน ใครกำลังอยากได้ปลาช่อนแดดเดียวกลับไปฝากพี่ๆ น้องๆ ละก็ ซื้อได้ที่ร้านนี้เลยค่ะ ปลาช่อนเขาดีสุดๆ เนื้อแน่นๆ ทอดออกมานิกรอบอร่อย ถ้าได้ทานกับข้าวต้มนี่เลิศเลยค่ะ
มาเที่ยวทริป อยุธยา สิงห์บุรี เต็มๆ 3 วัน 2 คืนนี่ ต้องบอกว่า มีน้ำหนักขึ้นค่ะ เพราะอาหารอร่อยเยอะแยะมากมาย เป็นทริปเที่ยวกินที่ครบสุดๆ ใครที่คิดว่า สิงห์บุรี จะไม่มีอะไร ขอให้ตามเรามาค่ะ เพราะแค่ตามเรามาเที่ยวกิน ก็ครบแล้วค่ะ หรือเพิ่มทริปเที่ยวอยุธยาอีกสักหน่อยก็ไม่ว่ากัน ลองขับรถมาเที่ยวกันที่จังหวัดใกล้ๆ กรุงเทพฯ กันดูนะคะ รับรองว่าจะต้องถูกใจทุกคนอย่างแน่นอนค่ะ :D
ขอขอบคุณทริปดีๆ จาก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
รวมที่เที่ยว ที่พัก อัพเดทเทรนด์ ฟินทั่วไทยและต่างประเทศ
อ่านง่าย สบายกว่าที่เคย! บนแอปพลิเคชัน ทรูไอดี