รีเซต

รวมเรื่องน่ารู้ของรถไฟชินคันเซ็น ญี่ปุ่น รถไฟที่ไม่เคยสายเกิน 1 นาที!

รวมเรื่องน่ารู้ของรถไฟชินคันเซ็น ญี่ปุ่น รถไฟที่ไม่เคยสายเกิน 1 นาที!
Muzika
7 ธันวาคม 2567 ( 13:38 )
657

     คงไม่มีใครเถียงว่า หนึ่งในสัญลักษณ์แห่งความล้ำสมัย และความเป็นญี่ปุ่นแท้ๆ ก็คือ รถไฟความเร็วสูง ชินคันเซ็น Shinkanzen ที่เป็นเหมือนความภาคภูมิใจของชาวญี่ปุ่น และเป็นที่ยอมรับไปทั่วโลก

 

Piti Sirisriro / Shutterstock

รวมเรื่องน่ารู้ของ ชินคันเซ็น ญี่ปุ่น
รถไฟที่ไม่เคยสายเกิน 1 นาที!

 

ประวัติ ความเป็นมาของชินคันเซ็น

     เริ่มแรกเลย ชินคันเซ็น มีความหมายว่า เส้นทางสายใหม่ เริ่มให้บริการครั้งแรกในปี 1964 ช่วงก่อนโอลิมปิกที่โตเกียว โดยเส้นทางแรกคือระหว่างโตเกียวกับโอซาก้า ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่แห่งการคมนาคมของญี่ปุ่น โดยมีเทคโนโลยีความปลอดภัยระดับเทพ แถมยังน่าทึ่งตรงที่ว่า ตลอดระยะเวลากว่า 50 ปี ชินคันเซ็นไม่เคยมีอุบัติเหตุถึงชีวิตผู้โดยสารเลยแม้แต่ครั้งเดียว! นี่คือมาตรฐานความปลอดภัยระดับโลกที่ทุกประเทศต้องยกนิ้วให้

     เพื่อนๆ รู้ไหมว่า ชินคันเซ็นสามารถวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดถึง 320 กิโลเมตรต่อชั่วโมง นี่คือความเร็วที่ทำให้การเดินทางในญี่ปุ่นเป็นเรื่องง่าย และรวดเร็วมากๆ บวกเข้ากับความตรงต่อเวลาระดับมหัศจรรย์ที่ชินคันเซ็นทำได้ คือมาตรฐานสูงสุดของการเดินทางที่แม่นยำ มีสถิติน่าทึ่งที่ทำให้คนทั่วโลกต้องอึ้ง เช่น

  • ค่าเบี่ยงเบนเวลาเฉลี่ยอยู่ที่เพียง 54 วินาทีต่อปี
  • หากมีความล่าช้าเกิน 1 นาที บริษัทรถไฟจะออกใบรับรองความล่าช้าให้ผู้โดยสาร
  • คนขับรถไฟจะได้รับการฝึกฝนอย่างเข้มงวดเพื่อความแม่นยำในการเดินทาง
  • มีระบบตรวจสอบและบำรุงรักษารถไฟอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันปัญหาความล่าช้า

     ซึ่งความตรงต่อเวลานี้ไม่ใช่แค่ทำให้การเดินทางสะดวก แต่ยังสะท้อนถึงวัฒนธรรม และวินัยของคนญี่ปุ่นอีกด้วย

 

 

รถไฟรุ่นต่างๆ ของชินคันเซ็น

     มีหลายรุ่นให้เลือก ตั้งแต่ Nozomi ที่เร็วที่สุด ไปจนถึง Kodama ที่แวะทุกสถานี แต่ละรุ่นมีความพิเศษ และน่าสนใจแตกต่างกันไป ยกตัวอย่างสายที่ดังๆ เช่น

1. Nozomi (โนโซมิ) - ราชาแห่งความเร็ว 🏎️

  • ความเร็วสูงสุด: 300 กม./ชม.
  • เส้นทางหลัก: โตเกียว-โอซาก้า
  • เป็นรถไฟที่เร็วที่สุด และแวะน้อยที่สุด
  • ไม่สามารถใช้กับ Japan Rail Pass

2. Hikari (ฮิคาริ) - แสงแห่งความสะดวก ✨

  • ความเร็ว: 270-285 กม./ชม.
  • แวะบ้างแต่ไม่มาก
  • เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ใช้ Japan Rail Pass
  • เชื่อมต่อเส้นทางสำคัญในญี่ปุ่น

3. Kodama (โคดามะ) - เพื่อนคู่ใจท้องถิ่น 🏘️

  • ความเร็ว: 230-250 กม./ชม.
  • แวะทุกสถานี
  • เหมาะสำหรับการเดินทางระยะสั้น
  • ราคาถูกกว่า แต่ใช้เวลานานกว่า

4. Mizuho (มิซูโฮ) - ระดับพรีเมียม 💎

  • ความเร็ว: 285-300 กม./ชม.
  • เทียบเท่า Nozomi
  • ให้บริการเฉพาะบางเส้นทาง
  • ไม่สามารถใช้กับ Japan Rail Pass

5. Hayabusa (ฮายาบุสะ) - พิชิตฮอกไกโด 🦅

  • ความเร็ว: 260-320 กม./ชม.
  • ให้บริการเส้นทางโทโฮคุ-ฮอกไกโด
  • รถไฟที่ทันสมัยที่สุดในปัจจุบัน
  • มีระบบกันหนาวพิเศษ

 

รู้จัก Gran Class สวรรค์แห่งการเดินทางเหนือระดับ

 

Piti Sirisriro / Shutterstock

 

     สำหรับคนที่ชอบความหรูหราระดับพรีเมียม ที่นั่งแบบ Gran Class คือตัวเลือกสุดพิเศษบนชินคันเซ็น ที่นั่งชั้นนี้มีความพิเศษมากมาย ได้แก่

  • ที่นั่งกว้างขวางกว่าคลาสอื่นถึง 50%
  • มีพื้นที่ส่วนตัวสูงสุด
  • เก้าอี้หมุนได้ 180 องศา
  • บริการอาหารและเครื่องดื่มระดับไฮเอนด์
  • พรมปูพื้นสีเทาอ่อนหรูหรา
  • มีจำนวนที่นั่งจำกัดเพียง 18-24 ที่นั่งต่อขบวน
  • บริการเครื่องดื่มฟรี น้ำอัดลม กาแฟ และขนมว่าง
  • พนักงานบริการส่วนตัวที่คอยดูแลอย่างใกล้ชิด

     แน่นอนว่ามาพร้อมราคาที่ค่อนข้างสูง แต่ประสบการณ์การเดินทางที่ได้รับคุ้มค่าอย่างแน่นอน

 

     ความพิเศษเหล่านี้เองที่ทำให้ชินคันเซ็นไม่ใช่แค่รถไฟ แต่เปรียบดั่งสัญลักษณ์ของเทคโนโลยี และนวัตกรรมที่ทำให้ญี่ปุ่นเป็นที่น่าจดจำไปทั่วโลก ใครมีโอกาสไปญี่ปุ่น อย่าลืมลองนั่งชินคันเซ็นกันดูนะ รับรองว่าประทับใจแน่นอน!

====================