เมื่อต้นปีที่ผ่าน ก่อนการมาเยือนของเจ้าไวรัสระบาดโดโร่น่า2019 หรือต่อมา เรียกใหม่ว่า โควิด 19 เราได้ไปเที่ยวที่อยากไปมานานมาก นั่นก็คือ เขาช้างเผือก จังหวัด กาญจนบุรี นั่นเอง ก่อนอื่นต้องบอกก่อนเลยว่า ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญสายเที่ยวป่าเที่ยวเขา แต่เที่ยวเราได้ทุกแนว ทั้งทะเล ธรรมชาติ วัฒนธรรม ภายในประเทศ ต่างประเทศนิดหน่อย ผสมกันไปในแต่ละปี แต่ละที่ที่ไปก็เน้นราคาถูกน่าคบหาเดินทางโดยรถสาธารณะในท้องถิ่นได้เพราะเราไม่มีรถส่วนตัว ฉะนั้น เราต้องเตรียมค่าเดินพอสมควร เพราะการเดินทางของคนที่ไม่มีรถส่วนตัวรายจ่ายหนึ่งในสามคือค่าเดินทาง นอกจากนั้นก็จะเป็นค่าที่พัก โรงแรม ค่าเข้าชม ค่าอาหารการกิน ค่าของฝาก ว่ากันไป อีกอย่างถ้าจะไปเที่ยวป่าเขาแบบนี้ร่างกายและจิตใจต้องสำคัญ เพราะ เขาช้างเผือก ณ เมืองกาญ นั้น ขึ้นชื่อว่า โหดหิน และหวาดเสียว แต่สิ่งที่เลื่องชื่อของการไปเยี่ยมเยือนเขาแห่งนี้คือ การโทรจอง! ใช่ค่ะ การโทรจองคิวขึ้นเขากับเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติทองภาภูมิ ผู้เป็นผู้ดูแลเขาช้างเผือกแห่งเมืองกาญจนบุรี ทำความรู้จักคร่าวๆกันก่อน เขาช้างเผือก สูงประมาณ 1,249 กิโลเมตร เป็นภูเขาหัวโลน ตั้งอยู่ที่จังหวัดกาญจนบุรี ลักษณะภูเขาเป็นทุ่งหญ้าไร้ร่มเงาเหมือนภูเขาทั่วไป แน่นอนว่า ต้องร้อนมาก ร้อนระดับผิวไหม้เลยหล่ะ เพราะเรากำลังจะเดินไล่เขาไปพร้อมแดดเปรี้ยงๆ ท้องฟ้าโล่งๆ รับลมรับแดดเต็มที่ ครีมกันแดดทาไปเลยเยอะๆ หมวก แว่นตากันแดด น้ำ ลูกอม ขนมหวานๆ พกไว้ระหว่างเดิน อย่าเป็นลมนะคะ เป็นลมแล้วจบเลยนะ เพราะช้างเผือกรอเราอยู่ ระยะทาง ประมาณ 8 กิโลเมตร ระยะทางไม่ใช่ปัญหา ปัญหาคือแดดและหนทางต่างหาก ที่ทำให้ท้อ เขาช้างเผือก จะเปิดให้ขึ้นแค่สองเดือนในช่วง ธันวาคม ถึง มกราคม ของทุกปี ทุกคนเลยจ้องจะขึ้นจนทำให้โทรไม่ติดเพราะก่อนหน้านี้อุทยานเว้นไปนานมากนักท่องเที่ยวเลยอยากขึ้นกันมาก จนปลายปีที่แล้ว เราได้ข่าวมาว่าอุทยานจะเปิดให้ขึ้นเขาช้างเผือก เราจึงตัดสินใจกับเพื่อนอีกสองคนไปขึ้นเขากัน หรือรีบไปก่อนอายุจะเยอะไปมากกว่านี้ ก่อนจะขึ้นไม่ไหว พอเปิดให้จองวันแรก ให้เพื่อนโทรไป สรุปติดคิวแรกเลยจ้า หลักการจองคิวหรือลงทะเบียน คือให้ขึ้นก่อนวันขึ้น เขาจริง1สัปดาห์ ตอนโทรไปต้องเตรียมข้อมูลบัตรประชาชนและจำนวนผู้ที่จะขึ้นเขาให้เรียบร้อย จองหนึ่งครั้งระบุได้5ชื่อคนขึ้นเขา นับเป็น1กรุ้ป ถ้าไป10 คน ก็ต้องโทรไปสองครั้ง แต่กรุ้ปในที่นี้ไม่ได้หมายความว่ากรุ้ปขึ้นเขา เพราะตอนขึ้นเขาเราจะต้องไปกับเจ้าหน้าที่ ซึ่งเจ้าหน้าที่1คนต่อนักท่องเที่ยว 12 นักท่องเที่ยว ขึ้นเขาได้สูงสุด ไม่เกิน 60 คนต่อวัน เท่ากับว่าจะมีเจ้าหน้าที่อุทยานที่จะดูแลเราทั้งหมด 5 คน สำหรับการขึ้นเขา 1 วัน ราคาค่าเจ้าหน้าที่ที่เราต้องจ่าย 1,200 บาท นอกจากนั้นยังมีค่าประกันค่าเช่าเต้นท์ ค่าที่นอน สำหรับคนที่จะเช่า เขาช้างเผือก สามารถค้างคืนบนเขาได้ 1 คืน โดยเดินขึ้นตอนเช้า และกลับลงมาในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น ส่วนน้อยมากที่จะไปกลับภายในวันเดียว เพราะฉะนั้นใครไปก็เลยต้องไปค้างบนนั้น เขาช้างเผือก ไม่มีที่อาบหน้า มีแค่ห้องน้ำ ที่ไม่มีน้ำ มีแค่สิ่งปลูกสร้างปิดบังสายตาของมนุษย์และหลุมดินที่เป็นโถส้วม พูดง่ายๆ ส้วมหลุมไทยๆทุ่งๆ แล้วหลุมลึกด้วยนะ ระวังตกหลุมกันนะจ๊ะ เขาช้างเผือก ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวก ร้านค้า ร้านข้าว ร้านสะดวกซื้อ เพราะฉะนั้น เราต้องหอบขึ้นไปเอง คนที่หอบไม่ไหวเขามีลูกหาบไว้บริการค่ะ ลูกหาบ1 คน แบกได้ 30 กิโลกรัม ราคา 1,500 บาท ไปกลับ เกิน กิโลกรัมละ 50 บาทถ้าจำไม่ผิด เขาช้างเผือก ไม่มีเต้นท์สำเร็จรูป หรือห้องพักไว้ตอนรับเรา เราต้องแบบ เต้นท์ ถุงนอน ผ้าห่ม ขึ้นไปเอง ใครไม่มีเช่าได้ที่ทำการอุทยาน ใครที่หอบได้หอบเอง หอบไม่ไหวให้ลูกหาบ แนะนำว่า อะไรที่ต้องใช้ระหว่างทาง หอบเอง เช่นน้ำส่วนที่กินระหว่างทาง น้ำอีกส่วนที่จะเอาไปใช้ล้างหน้า แปรงฟัน ต้มมาม่า ให้ลูกหาบหาบให้หมด เขาช้างเผือก มีจุดที่เรียกว่า สันคมมีด ซึ่งนี่คือจุดไฮไลต์ จุดวัดใจ จุดหวาดเสียว จุดอันตราย ของผู้ที่จะไปพิชิตจุดสูงสุดของเขาช้างเผือกกันเลยที่เดียว ต้องอาศัยหัวใจล้วนๆในการผลักดันให้เดินไปเพราะขาคุณจะอ่อนระทวยและสั่นเทาแบบบังคับไม่ได้ ใจเท่านั้นจริงๆ ทางที่แคบแค่ฝาเท้าเหยียบ ข้างทางที่เห็นคือเหวดีๆนั้นเอง เพราะเรากำลังไต่สันเขานั้นเอง สันเขาที่แคบ ลื่น และกระท่อนกระแท่นด้วยเม็ดกรวด แถมยังมีหญ้าสีเหลืองทองยามกระทบกับแสงของพระอาทิตย์ที่กำลังจะตก หลอกตาเราได้ดีเชียวละ ต้องมีสติตลอดทุกย่างก้าวที่เดินอยู่บนสันนั้น ไม่งั้นพลาดไปอันตรายถึงชีวิต เหมือนที่เคยเกิดขึ้น เราจะต้องผ่านสันคมมีดนี้เพื่อไปยังจุดเนินช้างเผือกจุดที่สูงที่สุดของการเดินทาง ถ้าเราผ่านสันคมมีดนี้ไปได้ ก็ง่ายแล้วล่ะ แต่ขากลับก็ต้องทางเดิม เสียวทั้งไปและกลับเลยก็ว่าได้ เริ่มต้นการเดิน ตอน 0800 เป็นต้นไป โดยจะเริ่มเช็กชื่อรวมตัว ชั่งของที่จะเอาไปด้วยให้ลูกหาบ รอเจ้าหน้าที่ และเริ่มเดิน โดยจุดรวมพลก็คือหมู่บ้านอีต่องนั่นเอง จากหมู่บ้านอีต่อง เราเดินไป1กิโลเมตร เพื่อไปยังทางขึ้นเขาช้างเผือกของจริง แค่นั้นก็หอบกันแล้ว 1กิโลเมตรที่ว่าไม่นับรวมกับ อีก 8-9กิโลเมตร พอเดินไปสักพัก เหงื่อเริ่มออก ร่างกายเริ่มร้อน หันหลังไม่ได้แล้ว เดินต่ออย่างเดียว พอไปถึงทางขึ้นเขาของจริง เจ้าหน้าที่จะถ่ายรูปเราไว้เพื่อเป็นการเช็คว่าจะไม่มีใครหายไป ขึ้นครบต้องลงให้ครบทุกคน ประมาณ 2-3 กิโลเมตรแรก จะยังมีร่มเงาต้นไม้อยู่ ขอให้สูดดมและสัมผัสความเย็นจากต้นไม้ไว้ เพราะยิ่งเดินไต่ขึ้นความสูงไปเรือยๆเราจะเจอแต่ แสงพระอาทิตย์ ฝุ่นดิน ลมร้อน และความแห้งแรง ต้นไม้ใบหญ้าก็ยิ่งเตี้ยลง ไม่พอที่จะให้หลบแดด ต้องอาศัยรีบเดินพอเจอต้นไม้เดี่ยวสักต้นรีบวิ่งไปหลบอย่างรวดเร็ว ก่อนมาเดิน ประมาณเวลาเอาไว้ว่าตัวเองจะเดินอย่างน้อย 6 ชั่วโมงแต่ ผิดคลาด ใช้เวลาแค่5 ชั่วโมงเอง ไม่ได้เร่งตัวเองก็ถือว่าไม่เลว และคนส่วนมากก็ใช้เวลาประมาณนี้ แต่ไม่แนะนำให้รีบเดินหรือเร่งตัวเองมากถึงแม้จะเหนื่อยจะร้อนก็ตาม เราต้องพักดื่มน้ำ กินขนมเป็นระยะ อย่าปล่อยให้ท้องว่าง เราต้องใช้พลังงานไปสู้กับการไต่เขาลงเนินอีกหลายลูก ต้องขึ้นใช้กล้ามเนื้อทั้งตัว ตอนลงเกร็งทั้งขา บางคนเป็นนักไต่เขาหรือเคยเดินเทร็กมาก่อน เขาก็จะมีไม้เทร็กเป็นขาที่สามขาที่สี่ช่วยพยุงก็ถือว่าเตรียมตัวหรือคุ้นชินได้ระดับนึง แต่สำหรับเรา ใช้ท่อนไม้ที่เหล่านักเดินเขาทำไว้เป็นขาที่สามแทน พอไปถึงลานกางเต้นท์ก็บ่ายโมง ใช้เวลานั่งรอลูกหาบสักพัก ลูกหาบเราก็มาถึง ลูกหาบจัดแจ้งกางเต้นท์เสร็จสรรพ เราก็ทานข้าวกลางวัน นอนพักผ่อนเอาแรง เพราะห้าโมงเย็น เรามีนัดใช้พลังกายและพลังใจอีกรอบใหญ่ จุดหมายปลายทางของช้างเผือก แน่นอนถึงแม้เราถึงลานกางเต้นท์แล้วเช็กอินได้แล้ว แต่ยังไม่ใช่จุดสูงสุดของการมาเที่ยวที่นี้ (สัญญาณโทรศัพท์ไหลลื่นมากนึกว่าจะไม่มีสัญญาณอัพภาพซะอีก) ส่วนที่ตื่นเต้นกำลังรอเราอยู่ เมื่อทุกคนพักผ่อนเต็มที่แล้ว เจ้าหน้าจะพาเราเดินอีก 3กิโลเมตรจากจุดพักมองเห็นตีนเขาที่จะกำลังไต่อีกไม่กี่อึดใจ ขามันเริ่มไม่แรงอีกรอบ แต่ไหนๆมาทั้งที ต้องสู้ซะหน่อย ใครจะเดินขึ้นไปก็ได้ไม่เดินขึ้นไปก็ได้ เอาที่เราสะดวก แต่ใครที่ไม่อยากเดินสุดท้ายเจ้าหน้าก็จะมาบิ้วท์ให้เราไปเองในที่สุด ทั้งห้าสิบหกสิบชีวิตก็ต้องเดินกันอีกครั้ง เริ่มอีกครั้งทั้งชันและแคบ ค่อยๆกระดึบขึ้นไปที่ละก้าว ทีละก้าวกันจริงๆ กว่าจะไปถึงสันคมมีด หอบแล้วหอบอีก เห็นภาพที่ถ่ายมาเหมือนจะไม่สูงไม่เสียว แต่ความเป็นแล้ว โคตรเสียวเลยทุกคน ขาสั่นตัวสั่นไปหมด ใจหวิวใจบางมาก หลายคนนั่งทำใจตรงจุดนั้นนานมากจากไปถึงคิวสันคมมีดแรกๆแต่ทำใจไม่ไหว นั่งแช่จนตัวเองเป็นคิวสุดท้ายก็มี แต่เราอยากให้มันผ่านไปเร็วๆ พอไปถึงพักหายใจ สูลมหายใจเข้าลึกแล้วก็สู้กับมัน คิดในใจตอนจับเชือก ก้าวเท้า สติและสมาธิ อย่าพลาด เพราะถ้าพลาดไม่มีใครคว้าตัวเรานะ เหวนะเหว พอผ่านขึ้นไปได้ ก็ยังไม่จบนะ เดินต่อค่ะ เดินไปอีก เดินห่างจากจุด สันคมมีด เพื่อจะไปยังจดธงชาติ เดินต่ออีกที่นี้ ยิ่งสูงยิ่งตาลายค่ะ ต้นหญ้ากำลังกระทบแสงพระอาทิตย์ที่กำลังจะตกดิน ทำเอาตาลายไปหมด ลมเย็นๆเอื่อยๆ อากาศก็ดี ยิ่งชวนตาลายมึนงง ไปหมด ดึงสติแล้วเดินต่อค่ะ เดินไปจนถึงเขาสุดท้าย จะเห็นตัวมนุษย์เหมือนตัวมดอยู่ลิบๆทยอยดึงเชือกขึ้นเขาไป เหมือนมดจริงๆค่ะ พอไปอยู่ตรงนั้นตัวเราเล็กไปหมด ธรรมชาติใหญ่มากจริงๆ ถึงธงชาติสักที เจ้าหน้าที่ให้เราใช้เวลาถ่ายรูป เช็กอิน ชื่นชมบรรยกาศสักพัก ก่อนจะให้เราทยอยลง ก่อนพระอาทิตย์ตก แสงจะไม่มีไปด้วย ไฟฉายเป็นสิ่งที่ต้องพกติดตัวห้ามลืมเด็ดขาด พอขากลับก็ต้องเวลานิดนึงถ้าเราไม่อยากอยู่บนนั้นนาน แต่ถึงอย่างไรก็ต้องระมัดระวัง และไปวัดใจอีกรอบที่สันคมมีด พอขึ้นไปอยู่บนนั้น ความสวยงามตามธรรมชาติไม่ว่าจะไปเห็นทีไร ทำให้เรามองตัวเราเองให้เล็กลงได้เสมอ ไม่มีอะไรใหญ่กวาธรรมชาติจริงๆ ผู้คนมากมายทั้งที่รู้จักและไม่รู้จัก กลายเป็นเพื่อนพูดคุยกันไปตลอดทาง แสงสีทองกำลังจะหลับสันเขา ก่อนอากาศเย็นเหมือนยามหนาวจะเขาปกคลุมทั้งคืน แถมมีบริการน้ำต้มร้อนๆจากครัวลูกหาบที่เอาน้ำขวดที่แบกมาเป็นของแลกเปลี่ยนการบริการบนยอดเขา ตื่นมาตอนเช้า ล้างหน้าแปรงฟัน กินอาหารเช้า เก็บของลงเขา ขาลงใช้เวลา สามชั่วโมง เพราะตอนลงอากาศเย็นสบาย ก่อนจะไปร้อนก่อนถึงหมู่บ้าน แตกต่างจาก คนขาขึ้น อากาศร้อนตั้งแต่เริ่มเดิน ตอนลงใช้เวลากับตัวเอง เดินไปคิดทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นว่าเรามาทำอะไรที่เขาแห่งนี้ คำตอบที่เสียงดังที่สุด คงจะเป็น ท้าทายตัวเองได้แล้ว ได้ทำในสิ่งที่หลายคนไปกล้าทำได้แล้ว ดีใจตัวเอง ดีใจที่ผ่านความขี้กลัว ขี้จินตนาการของตัวเอง ก่อนไปเดิน คิดไว้เยอะว่าจะเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ จะเหนื่อยจะท้อ แต่สุดท้ายมันก็แค่ความคิด ไม่มีอะไรเลยที่ไม่สนุก สนุกมาก คงจะมีเรื่องเล่าเท่ๆอีกมากก เราคงคุยได้เต็มปากว่าชั้นนี่แหละ เคยไปท้าเขาช้างเผือกมาแล้ว เริ่มต้นปีด้วยความท้าทาย ปี 2020 ก็น่าจะเป็นปีที่ต้องจำไปตลอดชีวิตของผู้หญิงคนเดียวที่ใส่กางเกงขาสั้นขึ้นเขาคนนั้น. เครดิตภาพโดยผู้เขียน วันไหนเหนื่อย ให้นึกถึงวันที่เดินเขาช้างเผือก คุณนง