จังหวัดกาญจนบุรีเป็นจังหวัดที่มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายหลายแห่งให้ไปเที่ยวกันได้ตลอดทั้งปี แถมเวลามาเที่ยวก็เที่ยวไม่ครบสักที ทำให้ต้องมาเที่ยวจังหวัดนี้หลายครั้ง ซึ่งปี 2563 เป็นช่วงที่เกิดสถานการณ์โรคระบาด Covid-19 ใหม่ ๆ เราไปเที่ยวเมืองกาญจน์ในช่วงครึ่งปีหลังถึง 4 ครั้งเลยทีเดียว เราเลยจะค่อย ๆ ทยอยรีวิวทริปเที่ยวจังหวัดกาญจนบุรีลง 4 ทริป 4 บทความด้วยกัน โดยเริ่มจากทริปนี้ในชื่อ “ชิลล์ไปเรื่อย...เอื่อยเฉื่อยที่กาญนะจ๊ะบุรี” เป็นบทความแรก เอาล่ะ...อารัมภบทมาเยอะแล้ว เราไปเที่ยวผ่านบทความนี้พร้อมกันดีกว่าค่ะ! ^^ ก่อนเดินทางต่อไปยังจังหวัดกาญจนบุรีก็ใกล้มื้อเที่ยงพอดี เราจึงแวะกินข้าวที่ “ร้านครัวจ่าพอง” ซึ่งเป็นร้านอาหารป่าสไตล์บ้าน ๆ ในย่านกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม โดยเมนูอาหารที่เราสั่งนั้นได้แก่ สามชั้นทอดน้ำปลา, ผัดเผ็ดหมูป่า, หมูมะนาว, กบทอดกระเทียม, ต้มยำปลาคัง และทอดมันปลากราย รสชาติอาหารโดยรวมถือว่าอร่อยกลมกล่อม รสเด็ดเผ็ดถึงใจ แถมยังคุณภาพสดใหม่ และบริการดีมากอีกด้วยค่ะ หลังจากกินอาหารเที่ยงเสร็จก็นั่งรถต่อไปยังจังหวัดกาญจนบุรี เพื่อเช็กอินเข้าที่พัก ณ “โรงแรมมาร์กาญ รีสอร์ท” ซึ่งโรงแรมแห่งนี้ตั้งอยู่ติดถนนใหญ่ ใกล้กับปั๊มน้ำมันและศูนย์การค้า TMK Park เดินทางสะดวก มีอาคารห้องพัก 2 ชั้น จำนวน 2 อาคาร อาคารละ 20 ห้อง รวมห้องพักทั้งหมด 40 ห้อง แต่ละห้องมีรูปแบบห้องแตกต่างกันไป และภายในห้องพักมีสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อม รวมถึง Wi-Fi ให้ได้ใช้ฟรี นอกจากนั้นยังมีห้องประชุมให้ได้ใช้สำหรับกลุ่มทัวร์ที่มาประชุมหรือสัมมนาค่ะ พอเช็กอินเข้าที่พักแล้วก็พักร่างซะหน่อยหลังจากเดินทางเกือบครึ่งวัน จนกระทั่งช่วงเย็น ๆ จึงออกไปนั่งรถเล่นชิลล์ ๆ และแวะถ่ายรูปเล่น พร้อมทั้งกินอาหารเย็นที่ “ร้านหอมคะน้าคาเฟ่” ซึ่งเป็นร้านคาเฟ่สวย ๆ ที่ด้านหลังร้านเป็นวิวไร่คะน้าสีเขียวไม่ต่ำกว่า 100 ไร่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตาท่ามกลางเขาสิงโต ส่วนข้างร้านมีสะพานไม้ให้เดินไปถ่ายรูปตามมุมถ่ายรูปต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโดมไม้ไผ่, แก้วกาแฟยักษ์ และชิงช้า หรือจะถ่ายรูปในทุ่งดอกไม้เล็ก ๆ ก็สวยงามไม่แพ้กันค่ะ เมนูอาหารของร้านหอมค่ะน้าคาเฟ่มีเมนูหลากหลายทั้งอาหารทานเล่น, อาหารจานเดียว, ก๋วยเตี๋ยว, เมนูของหวาน, กาแฟ และน้ำอิตาเลียนโซดา แต่เพราะกินอาหารกลางวันเยอะไปหน่อย ตอนเย็นเลยสั่งแค่สปาเกตตีขี้เมาทะเลจานเดียวมาแบ่งกัน 3 คน (แม่ พี่ และเรา) ระหว่างนั้น เราก็เดินถ่ายรูปวิวรอบร้านไปเรื่อย ๆ พออาหารมาเสิร์ฟปุ๊บก็แบ่งกันกินจนเสร็จ จากนั้นก็นั่งรถต่อไปยัง “สะพานข้ามแม่น้ำแคว” เพื่อชมบรรยากาศยามเย็นบนทางรถไฟสายมรณะทั้งสองข้างทางค่ะ เมื่อเดินทางมาถึง “สะพานข้ามแม่น้ำแคว” แล้ว เราก็เดินมาถ่ายรูปบริเวณด้านล่างของสะพานริมแม่น้ำที่มีซากของเครื่องบินจำลองตั้งวางไว้อยู่ ซึ่งสะพานข้ามแม่น้ำแควเป็นแลนด์มาร์กสำคัญที่นักท่องเที่ยวต้องแวะมาเที่ยวชม เนื่องจากเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 และเป็นอนุสรณ์ของสงครามมหาเอเชียบูรพา โดยแรงงานของเชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตรภายใต้การควบคุมของกองทัพญี่ปุ่นร่วมกันสร้างขึ้น แต่การสร้างสะพานเป็นไปอย่างลำบาก ประกอบกับอยู่ในช่วงภาวะสงคราม ทำให้เชลยศึกจำนวนมากเสียชีวิตจากความโหดร้ายของกองทัพญี่ปุ่น, โรคภัยไข้เจ็บ และการขาดแคลนอาหาร ปัจจุบันสะพานแห่งนี้ได้รับการยกย่องให้กลายเป็น “สัญลักษณ์แห่งสันติภาพ” ค่ะ จากนั้นเราก็เดินขึ้นไปบนสะพานข้ามแม่น้ำแคว เพื่อชมบรรยากาศยามเย็นของแม่น้ำแควทั้งสองฝั่ง ซึ่งการรถไฟฯ อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเดินบนทางรถไฟสายมรณะที่มีระยะทาง 300 เมตร และโพสท่าถ่ายรูปสวย ๆ กลางสะพานได้ แต่ต้องฟังหรือระวังสัญญาณรถไฟผ่านมาให้ดีด้วย เนื่องจากรถไฟสัญจรเป็นปกติทุกวัน ถือว่าเป็นไฮไลท์ของการมาเที่ยวชมที่นี่เลยทีเดียวค่ะ หลังจากเดินเล่นกินลมชมวิวบนสะพานข้ามแม่น้ำแควแล้วก็เดินกลับมาที่รถ เพื่อกลับเข้าที่พัก ระหว่างนั้นก็ถ่ายรูปรถทหารหน้าตลาดค่ายเชลยศึก เสียดายที่ไม่ได้เดินเล่นในตลาดเพราะถ่ายรูปสะพานข้ามแม่น้ำแควเพลิน จากนั้นก็นั่งรถกลับที่พัก และอาบน้ำนอน เพื่อเก็บแรงเที่ยวในวันถัดไป เดี๋ยวจะไม่มีแรงเที่ยวค่ะ 5555 เช้าวันถัดมา หลังจากเช็กเอาท์ออกจากที่พักแล้วก็ออกมากินอาหารเช้าที่ “ร้านอาหารสบายจิต” ซึ่งเป็นร้านอาหารจีนเก่าแก่ในจังหวัดนี้ที่เปิดมานานไม่ต่ำกว่า 45 ปี ร้านมีขนาดใหญ่ 2 คูหา ส่วนเมนูอาหารมีหลากหลายทั้งอาหารไทยและอาหารจีน แต่เมนูติ่มซำเป็นเมนูยอดนิยม โดยเราสั่งเมนูติ่มซำ อย่างซี่โครงหมูนึ่งเต้าซี่, ขนมจีบปู, ขนมจีบกุ้ง และหอยจ๊อกุ้ง รสชาติโดยรวมถือว่ากำลังดีค่ะ กินอาหารเช้าเสร็จแล้วก็นั่งรถไปยัง “วัดถ้ำเสือ” ซึ่งเป็นวัดไทยสุด Unseen ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในจังหวัดกาญจนบุรีตั้งอยู่บนเนินเขาสูงในอำเภอท่าม่วง มองออกไปทางด้านหลังวัดก็จะเห็นทุ่งนาสีเขียวขจีในช่วงฤดูทำนา โดยในอดีตเป็นเพียงสำนักสงฆ์ขนาดเล็ก ต่อมาชาวบ้านผู้มีจิตศรัทธาได้ร่วมกันสร้างและบูรณะวัดจนมีขนาดใหญ่โตสวยงาม ถือได้ว่าเป็นวัดสวยกลางทุ่งนาเลยทีเดียวค่ะ เมื่อเดินขึ้นบันไดเข้าไปในวัดถ้ำเสือจะพบกับอาคารและเจดีย์ที่มีสถาปัตยกรรมหลายแบบ ทั้งแบบไทย, แบบจีน, แบบญี่ปุ่น และแบบผสมผสาน ซึ่งจุดเด่นของวัดแห่งนี้คือ “หลวงพ่อชินประทานพร” พระพุทธรูปปางประทานพรขนาดใหญ่ที่สุดตั้งประดิษฐานอยู่บนเนินเขา โดยประดับตกแต่งองค์พระด้วยโมเสกสีทองอร่ามทั้งองค์อย่างโดดเด่นสวยงาม สามารถมองเห็นมาแต่ไกลเลยล่ะค่ะ หลังจากนั้นเดินทางต่อไปยัง “ต้นจามจุรียักษ์” ซึ่งเป็นต้นไม้ขนาดลำต้นใหญ่ยักษ์เท่า 10 คนโอบและสูงถึง 20 เมตร มีอายุไม่ต่ำกว่า 100 ปีเลยทีเดียว โดยรากและกิ่งก้านใบที่ตั้งพุ่มเขียวขจีให้ร่มเงายังแตกแขนงแผ่ขยายครอบคลุมไปทั่วอาณาเขต ด้วยขนาดใหญ่อลังการของต้นจามจุรียักษ์นี้เอง ทำให้ที่นี่กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวต่างแวะเข้ามาเที่ยวชมกันอย่างไม่ขาดสาย เมื่อเข้ามาภายในบริเวณต้นจามจุรียักษ์จะมีสะพานวงกลมแบบยกพื้นสูงเหนือพื้นดินล้อมรอบลำต้นไว้ให้เป็นพื้นที่นั่งเล่นพักผ่อน หรือหลบแดดหลบฝน ตากลมเย็น ๆ ใต้ต้นไม้ ส่วนบริเวณโดยรอบจะปลูกต้นไม้และดอกไม้ให้ถ่ายรูปสวย ๆ แต่เพราะไปเที่ยวในช่วงวันหยุดและคนค่อนข้างมาเที่ยวเยอะ ทำให้ถ่ายรูปไม่ถนัดนัก จึงถ่ายภาพได้แค่นิดหน่อยและตั้งใจว่าจะมาเที่ยวที่นี่อีกในตอนเช้า ๆ เพื่อถ่ายรูปแบบไม่ติดคนค่ะ 5555 หลังจากเที่ยวในช่วงเช้าเสร็จก็ถึงช่วงมื้อเที่ยงพอดี เราจึงไปกินอาหารมื้อเที่ยงเพื่อเติมพลังยามบ่ายที่ “ร้านพริกแกง” ซึ่งเป็นร้านอาหารป่าขนาดกลางที่ตั้งอยู่บริเวณสะพานลาดหญ้า มีพื้นที่เปิดโล่งแบบ Open Air โดยเมนูอาหารที่เราสั่ง ได้แก่ กบทอดกระเทียม, ฉู่ฉี่ปลาคัง, ผัดเผ็ดหมูป่า และไก่รวนเค็ม รสชาติโดยรวมถือว่าอร่อยเผ็ดจัดจ้านถึงใจตามสไตล์อาหารเมืองกาญจน์ค่ะ พอกินอาหารเที่ยงเสร็จแล้วก็เดินทางต่อไปยัง “น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น” ซึ่งตั้งอยู่ภายในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์ น้ำตกแห่งนี้ถือเป็นน้ำตกที่สวยงามที่สุดในจังหวัดกาญจนบุรีไม่แพ้น้ำตกเอราวัณและเป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยว เนื่องจากบรรยากาศรายล้อมด้วยธรรมชาติอันสมบูรณ์ประกอบกับม่านน้ำตกที่ไหลลดหลั่นลงมาเป็นชั้น ๆ สามารถเที่ยวชมได้ตลอดทั้งปี โดยน้ำตกแบ่งเป็น 7 ชั้น แต่ละชั้นก็จะมีชื่อเรียกและสวยงามแตกต่างกันไป แต่น้ำตกชั้นที่ 4 “ฉัตรแก้ว” สวยงามที่สุดเพราะมีสายน้ำไหลลดหลั่นเป็นชั้น ๆ คล้ายผ้าม่านค่ะ นอกจากนั้นทางอุทยานฯ ยังมีพื้นที่/บริการกางเต็นท์พักแรม, เส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ และเส้นทางเดินชมน้ำตกแต่ละชั้น ซึ่งการเดินชมน้ำตกจะนิยมเริ่มที่ชั้น 4 โดยเลือกเดินชมได้จากน้ำตกชั้นที่ 4 ลงไปน้ำตกชั้นที่ 1 หรือน้ำตกชั้นที่ 4 ขึ้นไปยังน้ำตกชั้นที่ 7 แต่เรามีเวลาในช่วงบ่ายไม่มากนัก ประกอบกับฝนตกปรอย ๆ เราจึงเดินลงไปจนเกือบล่างสุดเพื่อชมน้ำตกชั้นที่ 1 ก่อนแล้วเดินขึ้นมาชมน้ำตกชั้นที่ 4 ที่มีระยะทางเพียง 300 - 750 เมตรเท่านั้น ไม่ได้ขึ้นไปน้ำตกชั้นที่ 5 ถึงน้ำตกชั้นที่ 7 เนื่องจากน้ำตกแต่ละชั้นมีระยะทางห่างกันมากกว่า 1 กิโลเมตร แอบเสียดายมากจริง ๆ ไหน ๆ มาถึงที่นี่ทั้งทีนี่เนอะ ^^” เมื่อเดินชมน้ำตกห้วยขมิ้นแล้วก็นั่งรถตระเวนหาร้านอาหารบริเวณใกล้ ๆ กันจนมาเจอ “ร้านบ้านต้นน้ำ” ซึ่งเป็นร้านอาหารไทยแบบ Open Air สไตล์สวนอาหาร ทำให้บรรยากาศร่มรื่นและปลอดโปร่งโล่งสบาย มีโต๊ะที่นั่งให้เลือกนั่งทั้งมุมด้านนอกร้านเหมือนนั่งอยู่ในสวนกับมุมด้านในร้าน ส่วนเมนูอาหารของร้านมีสารพัดเมนูอาหารไทย โดยเมนูที่เราสั่งได้แก่ ข้าวผัดกุ้ง, กุ้งทอดราดซอสมะขาม และต้มยำปลาคังน้ำใส รสชาติอาหารโดยรวมถือว่าอร่อยดี แต่เมนูที่ชอบสุดคือเมนูกุ้งทอดราดซอสมะขามที่เป็นกุ้งชุบแป้งทอดราดน้ำซอสมะขามรสชาติเข้มข้นนี่แหละ กดไลก์ให้เลยจ้า! 👍👍👍 หลังจากกินอาหารเย็นเสร็จแล้วจึงไปเช็กอินเข้าพัก ณ “วอร์มเวล โฮสเทล” ซึ่งเป็นโฮสเทลเล็ก ๆ ระดับ 3 ดาวที่ตั้งอยู่ใกล้กับสะพานข้ามแม่น้ำแควและห้างบิ๊กซี มีห้องพักทั้งหมด 18 ห้อง สามารถเข้าพักได้สูงสุดห้องละ 4 คน ในราคาไม่ถึง 1,000 บาท โดยภายในห้องพักมีสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อม เช่น โทรทัศน์, ตู้เย็น, แอร์, ไดร์เป่าผม, ผ้าเช็ดตัว และครีมอาบน้ำ พอเช็กอินเรียบร้อยแล้วก็อาบน้ำ นั่งเล่น ดูโทรทัศน์ไปเรื่อย จนเคลิ้มหลับไปค่ะ วันรุ่งขึ้นหลังจากเช็กเอาท์ออกจากที่พักแล้วจึงเดินทางไปยัง “อุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์” หรือเรียกกันอย่างสั้น ๆ ว่า “ปราสาทเมืองสิงห์” ซึ่งเป็นปราสาทขอมเพียงแห่งเดียวของจังหวัดกาญจนบุรีที่ยังคงเหลืออยู่ถึงปัจจุบัน เพื่อใช้เป็นศาสนสถาน โดยสร้างตามแบบศิลปะลพบุรีตอนปลาย พุทธศตวรรษที่ 16-18 คาดว่าน่าจะสร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 18 ในช่วงที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ปกครองพื้นที่ภาคกลางและภาคตะวันออกของไทยก่อนที่จะก่อตั้งอาณาจักรสุโขทัย ต่อมาอาณาจักรขอมล่มสลาย ที่นี่จึงถูกทิ้งร้างผุพังอย่างที่เห็นในปัจจุบันค่ะ เมื่อเข้ามาภายในอุทยานฯ ก็จะพบกับต้นไม้น้อยใหญ่ร่มรื่น แต่ก่อนจะเข้าไปชมไฮไลต์ของปราสาทเมืองสิงห์ เราได้แวะเข้าไปชมหลุมขุดค้นทางโบราณคดีที่อยู่บริเวณปราสาทติดกับแม่น้ำ ซึ่งมีทั้งโครงกระดูกมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์, เครื่องมือเครื่องใช้ และเครื่องประดับโลหะที่ได้ขุดพบนำมาจัดแสดงค่ะ เดินไปชมโบราณสถานกันต่อ ซึ่งปราสาทเมืองสิงห์มีโบราณสถานทั้งหมด 4 แห่ง แต่เราชมโบราณสถานเพียง 2 แห่งเท่านั้นคือโบราณสถานหมายเลข 1 กับหมายเลข 2 โดยโบราณสถานหมายเลข 1 ตั้งอยู่ใจกลางกลุ่มโบราณสถานและใช้เป็นที่ประดิษฐานของเทวรูปศิลปะขอม ถือว่าเป็นปราสาทขอมที่สมบูรณ์ที่สุด ส่วนโบราณสถานหมายเลข 2 เหลือเพียงซากของฐานปราสาทเท่านั้นค่ะ ชมปราสาทเมืองสิงห์แล้วก็ถึงมื้อเที่ยงพอดี จึงไปกินอาหารมื้อเที่ยงที่ “ร้านกบทอดท่ามะกา” ซึ่งเป็นร้านอาหารป่าขนาดใหญ่ชื่อดังของจังหวัดที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากสถานีตำรวจอำเภอท่ามะกา มีพื้นที่เปิดโล่งแบบ Open Air และโต๊ะ-ที่นั่งเป็นแบบไม้มีให้เลือกนั่งไม่ต่ำกว่า 20 โต๊ะ ส่วนเมนูเด็ดที่ขึ้นชื่อของร้านได้แก่ กบทอดกระเทียม, กบทอด, แกงป่า, ปลาช่อนทอดน้ำปลา, ต้มยำปลาคัง และทอดมันปลากราย เป็นต้น โดยอาหารที่เราสั่งมีแต่กบ ไม่ว่าจะเป็นกบทอดกระเทียม, กบผัดพริกแกง, ต้มยำกบ และหนังกบ กินจนหน้าจะเป็นกบอยู่แล้ว 5555 รสชาติอาหารโดยรวมถือว่าอร่อยกลมกล่อมกำลังดีค่ะ เติมพลังยามบ่ายแล้วก็นั่งรถผ่าน “สถานีตำรวจภูธรอำเภอท่ามะกา” ซึ่งเป็นสถานที่ถ่ายทำละครเรื่อง “สารวัตรใหญ่” ละครดังหลังข่าวทางช่อง 7 เมื่อต้นปี 2562 ด้วยความที่เราชื่นชอบละครเรื่องนี้มาก ๆ จึงได้แวะมาถ่ายรูปอาคารโรงพักเพื่อรำลึกถึงความหลังที่ได้ดูละครเรื่องนี้ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพฯ ค่ะ 55555 รีวิวเที่ยวทริป “ชิลล์ไปเรื่อย...เอื่อยเฉื่อยที่กาญนะจ๊ะบุรี” จบไปแล้ว เป็นอย่างไรกันบ้างคะ? แต่บทความรีวิวทริปเที่ยวเมืองกาญจน์ยังไม่จบแค่นี้ เพราะยังมีทริปเที่ยวอีก 3 ทริปให้ได้อ่านกัน แล้วเจอกันใหม่ในรีวิวทริปที่ 2 กันจ้า สำหรับวันนี้ขอตัวลาไปพักก่อน สวัสดีค่า 🙏🙏🙏 พิกัด: ร้านครัวจ่าพอง, โรงแรมมาร์กาญ รีสอร์ท, ร้านหอมคะน้าคาเฟ่, สะพานข้ามแม่น้ำแคว, ร้านอาหารสบายจิต, วัดถ้ำเสือ, ต้นจามจุรียักษ์, ร้านพริกแกง, น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น, ร้านบ้านต้นน้ำ, วอร์มเวล โฮสเทล, ปราสาทเมืองสิงห์, ร้านกบทอดท่ามะกา, สถานีตำรวจภูธรอำเภอท่ามะกา ออกแบบหน้าปกใน Canva และ Photoshop โดย: Windy_55 (ผู้เขียน) เครดิตภาพประกอบบทความทั้งหมดโดย: Windy_55 (ผู้เขียน) เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !