วันนี้ผู้เขียนจะมาแนะนำบัตรรถไฟใต้ดินของประเทศสหรัฐอเมริกาให้รู้จักกันค่ะ ซึ่งประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่ใหญ่มาก การเดินทางด้วยรถไฟใต้ดินของแต่ละเมืองจึงมีระบบที่แยกจากกันเป็นเอกเทศแบบเมืองใครเมืองมัน เมืองนึงก็ใช้บัตรแบบนึง เรียกชื่อแบบนึง แต่บัตรรถไฟใต้ดินทุกเมืองของสหรัฐอเมริกามีจุดที่เหมือนกันอยู่จุดนึงค่ะ คือ มันเป็นบัตรรถไฟแบบเพียว ๆ เติมเงินได้ แต่ใช้ขึ้นได้แต่รถไฟ หรือรถเมล์อย่างเดียว ไม่สามารถนำไปใช้ซื้อของตามร้านค้า ร้านสะดวกซื้อ หรือจ่ายค่านู่นค่านี่ต่าง ๆ ได้เหมือนบัตรรถไฟใต้ดินสารพัดประโยชน์ในฝั่งเอเชียอย่างเกาหลีใต้ ฮ่องกง สิงคโปร์หรือบัตร Rabbit ของบ้านเรา โดยบัตรรถไฟที่ผู้เขียนจะมาแนะนำให้รู้จักในบทความนี้มี 3 แบบ 3 เมืองค่ะ ได้แก่ วอชิงตัน ดีซี แซนแฟรนซิสโก และลอสแองเจลลิสค่ะ ถ้าพร้อมแล้วไปกันเลยค่ะ 1. บัตร Smartrip ของวอชิงตัน ดีซี วอชิงตัน ดีซี เป็นเมืองหลวงของสหรัฐอเมริกา ทำให้บรรยากาศในเมืองดูเป็นระเบียบเรียบร้อย แตกต่างจากเมืองอื่นๆ ในความคิดของผู้เขียน ส่วนสถานีรถไฟใต้ดินก็สวยงาม สะอาดตา นับเป็นสถานีรถไฟใต้ดินที่ผู้เขียนชอบมากที่สุดในสหรัฐอเมริกาเลยค่ะ โดยรถไฟใต้ดินของที่นี่จะเรียกว่า “Metro” หรือ “Metrorail” ค่ะ ใครที่จะเดินทางไปท่องเที่ยวที่เมืองวอชิงตัน ดีซี สามารถซื้อ “บัตร Smartrip“ ได้ที่สถานีรถไฟใต้ดินทุกสถานี โดยบัตรมีราคาเริ่มต้นที่ 10 USD แบ่งเป็นค่าเดินทาง 8 USD และค่าธรรมเนียมบัตร 2 USD ซึ่งไม่สามารถ Refund คืนได้นะคะ โดยบัตรนี้ใช้ขึ้นได้ทั้ง Metrorail และ Metrobus (รถเมล์) ซึ่งจะช่วยประหยัดค่าเดินทางของเราถึงเที่ยวละ 1 USD สำหรับการขึ้น Metrorail และประหยัด 20 Cent สำหรับการขึ้น Metrobus ค่ะ นอกจากนี้หากเราขึ้น Metrorail แล้วมาต่อ Metrobus หรือขึ้น Metrobus แล้วมาต่อ Metrorail ภายในเวลา 2 ชม. จะได้รับส่วนลดอีก 50 Cent ด้วยค่ะ อย่างไรก็ตาม บัตร Smartrip นี้ไม่สามารถ Refund ได้นะคะ ดังนั้นจะต้องวางแผนการเดินทางให้ดี ไม่ต้องเติมเงินไว้เยอะมาก จะได้ไม่ต้องมีเงินค้างอยู่ในบัตร เอาไปใช้ซื้อของอย่างดีกว่าค่ะ และการไม่สามารถ Refund บัตรคืนได้นั้นเท่ากับว่าบัตรไม่มีวันหมดอายุค่ะ ดีงนั้นเก็บบัตรกันเอาไว้ให้ดี ๆ นะคะ เผื่อมีโอกาสได้ไปเที่ยวอีก จะได้นำกลับมาเติมเงินใหม่ ไม่ต้องไปเสียค่าบัตรอีก 2 USD ค่ะ 2. บัตร Tap ของแซนแฟรนซิสโก แซนแฟรนซิสโกเป็นเมืองโปรดอันดับสองของผู้เขียนในสหรัฐอเมริกาค่ะ สภาพบ้านเมืองที่นี้ค่อนข้างเงียบ มีความเป็นผู้ดีอยู่ในตัว ถนนหนทางส่วนใหญ่เป็นเนินขึ้น ๆ ลง ๆ การเดินทางมีทั้งรถไฟใต้ดิน (Muni Metro) รถไฟความเร็วสูง (BART) รถเมล์ (Muni Bus) และรถราง (Cable Care) ให้นักท่องเที่ยวได้เลือกสัมผัส บัตรโดยสารเดินทางหลักของที่นี่เรียกว่า “Clipper Card” ค่ะ สามารถใช้ขึ้นได้ทุกอย่างที่กล่าวมา Muni Metro BART และ Muni Bus ยกเว้นแต่รถราง หรือ Cable Car เท่านั้น Clipper Card สามารถหาซื้อได้ที่ร้าน Walgreen หรือร้าน CVS ที่มีอยู่ทั่วไปทั้งเมือง ไม่มีใครหาไม่เจอจริง ๆ ค่ะ เดินไปตรงไหนก็จะเจอ หรือจะซื้อที่สถานีรถไฟใต้ดินก็ได้ค่ะ ราคาบัตรเริ่มต้นที่ 3 USD ส่วนการเติมเงินใน Clipper Card สามารถเติมได้ที่ตู้ขายบัตรอัตโนมัติของสถานีรถไฟทุกสถานีค่ะ บัตร Clipper Card สามารถ Refund ได้ค่ะ แต่ต้องกรอกแบบฟอร์มยกเลิกบัตร และส่งไปที่ Clipper Customer Service พร้อมรายละเอียดการรับเงินคืน จากนั้นเราก็จะได้เงินคืนภายใน 30 วัน ซึ่งในความหมายของนักท่องเที่ยวอย่างเรา ๆ คือ Refund ไม่ได้ นั่นเอง หรืออย่า Refund เลยจะดีกว่า ยุ่งยากแท้ ดังนั้นผู้เขียนจึงเก็บ Clipper Card กลับมาในปี 2016 และมีโอกาสได้ใช้อีกครั้งในปี 2019 ประหยัดค่าซื้อบัตรใหม่ไปตั้ง 3 USD เลยค่ะ 3. บัตร Tap ของลอสแองเจลลิส ต้องบอกว่าถึงแม้แซนแฟรนซิสโกจะเป็นเมืองโปรดอันดับสองของผู้เขียน แต่ถ้าพูดถึงสถานีรถไฟใต้ดินลอสแองเจลลิสได้รองชนะเลิศอันดับ 1 ในใจผู้เขียนรองจากวอชิงตัน ดีซีค่ะ (อันดับบ๊วยสุดของผู้เขียน คือ นิวยอร์กค่ะ) สถานีรถไฟที่นี่สะอาดสะอ้าน สวยงาม บางสถานีมีลวดลายกราฟฟิค และไม่น่ากลัว เพราะมีตำรวจคอยเดินตรวจตราทุกสถานีเลยค่ะ บัตรรถไฟใต้ดินของ LA คือ “Tap Card” ใช้ได้ทั้งรถไฟใต้ดิน (Metro Rail) และรถเมล์ ซื้อได้ที่สถานีรถไฟใต้ดินทุกสถานี ราคาบัตรอยู่ที่ 1 USD จากนั้นก็เติมเงินได้ตามต้องการ ซึ่งตอนซื้อบัตรกับตอนเติมเงินสามารถจ่ายได้ทั้งเงินสดและบัตรเครดิต ซึ่งถือว่าสะดวกมาก ๆ สำหรับนักท่องเที่ยวที่ไม่ชอบพกเงินสดเยอะ ๆ ค่ะ Tap Card ไม่สามารถ Refund ได้ค่ะ เท่ากับว่าไม่มีวันหมดอายุเช่นกัน ดังนั้นได้โปรดเก็บกลับมาค่ะ เผื่อโอกาสท่องเที่ยวครั้งหน้าของเรามาถึง เราจะได้นำกลับมาใช้อีกค่ะ ผู้เขียนชอบความ Unique ของเมืองต่าง ๆ ในสหรัฐอเมริกานะคะ สมแล้วที่ได้ชื่อว่าเป็นประเทศแห่งเสรีภาพ การคมนาคมก็มีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ และครอบคลุมทั้งเมือง ซึ่งนอกจากจะดีกับคนในประเทศแล้ว ยังสะดวกกับนักท่องเที่ยวอย่างเรา ๆ อีกด้วยค่ะ ภาพปกและภาพประกอบบทความทั้งหมดเป็นของผู้เขียน: Little Rabbit