เซอลามัต ดาตัง สวัสดีครับ ขอทักทายคุณผู้อ่านเป็นภาษามาเลครับ เคยคิดมั้ยว่า สักวันหนึ่ง จะได้มาเที่ยว ช่องแคบมะละกา (Malacca Strait) ตามที่เคยได้เรียนหนังสือมาตั้งแต่สมัยประถมศึกษา ในวิชาสังคมภูมิศาสตร์ และก็ชอบแซวกันเวลาเดินเบียดกันในช่องแคบๆตรอกซอกซอยเล็กๆว่า นี่เดินผ่านช่องแคบมะละกา เหรอเนี่ย! 555 วันนี้ได้มาเที่ยวที่นี่แล้ว ผมตื่นเต้นมากครับ ผมจะพาคุณเที่ยวเอง จากการสังเกต มะละกา จะสะกดคำเป็น 2 แบบ กล่าวคือ Malacca เป็นภาษาอังกฤษ ส่วนที่เขียนว่า Melaka นั้นเป็นภาษามลายู ครับ เป็นช่องแคบระหว่างแหลมมลายูกับเกาะสุมาตรา อยู่ทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศไทย เหตุใดไฉนเล่า จึงได้ชื่อว่า มะละกา วันนี้ผมมีคำตอบ ตามตำนานเล่าว่า ราวปี ค.ศ.1376-1400 เจ้าชายปรเมศวร (Parameswara หรือสุลต่านมกัต อิสกันดาร์ ชะห์ (Megat Iskandar Shah) ซึ่งล่องเรือลี้ภัยมาจากเทมาเส็ก (สิงคโปร์ในปัจจุบัน) จนได้ค้นพบเกาะแห่งนี้ โดยขณะที่เจ้าชายกำลังพักผ่อนใต้ต้นมะขามป้อม (Malacca Tree) หลังจากขึ้นฝั่งมาแล้ว ก็เห็นกระจงตัวหนึ่งถูกฝูงหมาป่าทำร้าย และฮึดสู้จนสิ้นลมหายใจสุดท้าย เจ้าชายเกิดความประทับใจในความกล้าหาญของกระจง จึงตกลงสร้างเมืองใหม่ขึ้นที่นี่ พร้อมกับตั้งชื่อดินแดนแห่งนี้ว่า "มะละกา" ตามชื่อของต้นมะขามป้อมที่กระจงนอนตายอยู่นั่นเอง ปัจจุบัน มะละกาได้รับการประกาศจากองค์การยูเนสโก (UNESCO) ให้เป็นเมืองมรดกโลกพร้อมกับเมืองจอร์จทาวน์ (Georgetown) ของปีนัง เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม ค.ศ. 2008 ที่มีความงดงาม ต้องมนต์ ชวนหลงใหล เที่ยวเพลิน เดินสนุก ลุกนั่งสบาย อาหารการกินหลากหลาย วัฒนธรรมยั่วน้ำลาย ร้านอร่อยให้เลือกชิมอยู่ตามเบี้ยบ้ายรายทาง พร้อมกับแหล่งช้อปปิ้งเหมาะกับคนทุกวัย ทุกไลฟ์สไตล์ ไม่แพ้กันเลย พร้อมออกเดินทางไปมะละกา ! เราตั้งต้นกันที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ โดยสารโดยรถไฟฟ้าจากสถานี KL Sentral ให้ใช้สาย KLIA Transit Airport ลงสถานี Bandar Tasik Selatan ค่าโดยสาร 6.5 ริงกิต เดินออกจากสถานี และข้ามสะพานลอย ระยะทางประมาณ 900 เมตร เพื่อไปยัง TBS (Terminal Bersepadu Selatan) สถานีขนส่งสายใต้ของกรุงกัวลาลัมเปอร์ คุณสามารถซื้อตั๋วโดยสารไปมะละกา ได้ทุก counter ค่าโดยสาร 10.40 ริงกิต ( ค่าประกันภัยการเดินทาง 0.40 ริงกิต) เราออกเดินทางเวลา 09.15 ใช้เวลาเดินทางเพียง 2 ชม.เศษ โดยสารรถปรับอากาศชั้น1 เบาะอย่างดีนั่งสบาย เหมือนรถทัวร์นำเที่ยวของเมืองไทยบ้านเรา ไปลงที่สถานีขนส่ง Melaka Sentral Terminal และโดยสารรถบัสสาย 17 เข้าเมือง ค่าโดยสารคนละ 1.5 ริงกิต ลงป้าย 6 ที่จะเป็นจุดศูนย์กลาง พร้อมแล้วที่จะใช้เท้าทั้งสองไปสัมผัสมนต์เสน่ห์ของเมืองทุกย่างก้าวเดิน สายตาในการบันทึกภาพกับความทรงจำในสถานที่ดีๆ ที่สวยกว่าภาพจากมุมกล้องจริงๆ และสุดท้ายใช้หัวใจในการเดินทางไปกับคนที่เรารัก หรือถ้าหากใครมาคนเดียว คุณไม่ต้องเสียใจ พร้อมที่จะออกไปหาคำตอบในการเดินทางที่แสนพิเศษ ว่าทำไม มะละกา จึงได้รับการยกย่องว่าเป็นเป็นเมืองต้องมนต์ มรดกโลก ที่ใครต่างมาสัมผัส และไม่ไกลจากประเทศไทย 1. Dutch Square (สถาปัตยกรรมสีแดง แพงล่ำค่าตระการตา) หรือ จัตุรัสแดง (Red Square) สัญลักษณ์อันโดดเด่นอันเป็นตำนาน ถือว่าเป็นแลนด์มาร์คสำคัญที่ทุกคนต้องมาที่นี่ ลักษณะเป็นกลุ่มอาคารสถาปัตยกรรมแบบดัตช์ โดยใช้อิฐสีชมพูจากฮอลันดา มาก่อสร้างและฉาบสีทับด้วยดินสีแดงอีกครั้ง ซึ่งภายในประกอบด้วยโบสถ์คริสต์มะละกา (Chris Church Melaka) หอนาฬิกา (Melaka Clock Tower) น้ำพุวิคตอเรีย (Victoria Fountain) 2. Malaysia Youth Museum and Art Gallery (พิพิธภัณฑ์เยาวชนมาเลเซียและหอศิลป์) พิพิธภัณฑ์สำหรับเยาวชนสำหรับจัดแสดงภาพถ่าย วีดีโอ สิ่งประดิษฐ์ ข้าวของเครื่องใช้ และข้อมูลเอกสารที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมของเยาวชนแห่งชาติมาเลเซียในระดับท้องถิ่นและนานาชาติ รวมทั้งหอศิลป์ที่เป็นแกลอรี่จัดแสดงงานศิลปะท้องถิ่นและนานาชาติ ที่รู้จักในชื่อ PERZIM Art Gallery 3. Melaka River (แม่น้ำมะละกา ธาราเขียวใส หัวใจที่ปลายน้ำ) มาเที่ยวเมืองมะละกา ถูกใจในบรรยากาศริมน้ำที่แสนจะชิล เพราะคิดว่ามันเป็นคลองซะอีก ด้วยสีของแม่น้ำเป็นสีเขียวสดใส ดูแล้วสะอาดสอ้าน บ่งบอกถึงระบบการบริหารการจัดการที่ดี แม่น้ำสายนี้ไหลผ่านใจกลางเมืองก่อนลงสู่ทะเลช่องแคบมะละกา เปรียบเสมือนหัวใจระบบไหลเวียนโลหิต ไหลเวียนจากบนลงล่างซ้ายขวาไปหล่อเลี้ยงผู้คนปลายน้ำสำหรับอุปโภคและบริโภค นอกจากการเดินชิลชมวิวบรรยากาศริมสองฝั่งแม่น้ำนี้แล้ว ยามอัสดงพระอาทิตย์ตกดิน ใครใคร่สนใจสามารถล่องเรือชมวิถีชีวิตของคนในลุ่มน้ำนี้ และร่องรอยวัฒนธรรม เมื่อครั้งอดีตได้กับ Melaka River Cruise เหมาะมากๆในการนอนพักค้างหนึ่งคืน เพื่อดื่มด่ำกับบรรยากาศ 4. พิพิธภัณฑ์สมุทรศาสตร์ (Melaka Maritime Museum) เรือลำใหญ่ อลังการกลางเมืองมะละกา เรือสำเภาโบราณยักษ์ใหญ่สูง 8 เมตร ยาว 34 เมตร ตั้งสูงเด่นตระหง่าน ที่ถูกสร้างเลียนแบบมาจากเรือฟลอราเดอลามาร์ของโปรตุเกส ที่ใช้ขนสมบัติเมื่อครั้งโปรตุเกสเข้ามายึดมะละกา แต่บรรทุกในปริมาณมากเกินไป จึงล่มลง ให้เป็นที่ยลโฉมแก่นักท่องเที่ยว เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงวิถีชีวิตชาวเรือ แผนที่เดินเรือ แบบจำลองเรือโบราณ 5. Bastion Middleburg (ป้อมปราการสมุทร จุดยุทธศาสตร์มะละกา) ป้อมปราการที่ชาวดัตช์สร้างขึ้น ที่ยังคงเหลือร่องรอยทางประวัติศาสตร์ อยู่ตรงข้าม Dutch Square 6. Menara Taming Sari (มะละกาพาโนรามา 360) สำหรับคนที่ไม่กลัวความสูง ขึ้นมาชมวิวกับหอคอยวงแหวนแห่งแรกในมาเลเซีย เมอนารา ตามิง ซารี สูง 110 เมตร สามารถชมวิวเมืองมะละกา ได้ 360 องศา 7. St. Francis Xavier Church (โบสถ์ Gothic Have Scenic) โบสถ์ Catholic ในสไตล์ Gothic ที่เล่าเรื่องราวต่างๆได้อย่างงดงาม ภายในใช้กระจกสี สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแด่ เซนต์ฟรานซิส ซาเวียร์ ผู้นำคริสต์สาสนาเข้ามาเผยแผ่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 7 สถานที่ที่เป็น legendary ของมะละกา ที่พาเท้าทั้งสองข้างเดินก้าวไป ดวงตาในการบันทึกภาพ และหัวใจในการเดินทางที่กล้าแกร่ง และรักเคารพในทุกสถานที่ บอกตรงๆเลยว่า ถ้าคุณได้มาเยือนความสวยงามของเมืองมะละกาที่เราเอามาฝากกันครั้งนี้ รับรองคุณจะต้องหลงใหล ติดใจในมนต์เสน่ห์ในเมืองมรดกโลกในเอเชีย ในเมืองเล็กๆ แห่งนี้แน่นอน ขอเพียงแค่คุณกล้าที่จะตัดสินใจ แลกซื้อประสบการณ์ชีวิตดีๆสักครั้ง ไว้เจอกันคราวหน้า ขอบคุณครับ ภาพถ่ายโดย Korankae